ที่ห้องประชุมภูใจใส เมาน์เทน รีสอร์ต อ.แม่จัน จ.เชียงราย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ “โอกาศของชาไทยในยุคกาค้าเสรี” โดยมี นางสาวปองวลัย พัวพนธ์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ สำนักสินค้ากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นายทรงเดช ดันสุรัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท Export Zone co.ltd นายสมคิด โสภณอำนวยกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสตาร์ดอยคอฟฟี่จำกัด เป็นวิทยากรในร่วมเสวนา โดยมีผู้ประกอบการชาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมเสวนาด้วย โดยการจัดเสวนาครั้งนี้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ลงพื้นที่ไร่ชาในจังหวัดเชียงรายเพื่อเก็บข้อมูล พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการชาเชียงราย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำตลาดอาเซียน จีน และยุโรป ขายสินค้าสนองความต้องการตลาดเฉพาะ หรือ นิชมาร์เก็ต เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลาย โดยใช้เอฟทีเอเป็นสะพานให้เติบโตแบบก้าวกระโดด
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่าหลังจากลงพื้นที่สำรวจศักยภาพเกษตรกรและผู้ประกอบการชาเชียงราย การดำเนินงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน ในอนาคตต่อไปนี้อุตสาหกรรมชาไทยจะเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทายอีกมาก เพราะ ชาเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว อัตราการบริโภคชาของคนไทยยังไม่สูงมาก เฉลี่ย 0.93 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ในขณะที่ชาวอังกฤษบริโภคชาเฉลี่ย 2.74 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ชาวฮ่องกงบริโภคเฉลี่ย 1.42 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แสดงให้เห็นถึงโอกาสให้การเติบโตของตลาดชาในประเทศไทย โดยอาจส่งเสริมให้ผู้บริโภคดื่มชาเพิ่มขึ้นโดยใช้จุดขายเรื่องสินค้าชาอินทรีย์และสรรพคุณเพื่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตามรสนิยมผู้บริโภคในลักษณะ DIY และรูปแบบการบริโภคใหม่ๆ การเพิ่มช่องทางการขาย
“ประเทศไทยสามารถปลูกชาในระดับอุตสาหกรรมได้เนื่องจากไร่ชาภาคเหนือมีจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาจะผลิตเพื่อส่งขายจีนเป็นวัตถุดิบ หรือเป็นชาสำเร็จรูปส่งออกไปยังไต้หวัน หรือขายเป็นชาราคาเกรดทั่วไปเพื่อให้กับร้านชาในประเทศ จึงเรียกได้ว่า อุตสาหกรรมชาของไทยเป็นลักษณะรับจ้างผลิตหรือ โออีเอ็ม เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี เริ่มมีการสร้างแบรนด์สินค้าชาของคนไทยขึ้นมาและมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นตามลำดับ นอกจากศักยภาพอุตสาหกรรมชาไทยแล้ว กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งในภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับแนวทางจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ และจะรวบรวมประเด็นต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนต่อไป” อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าว
ด้าน นางสาวธัญญา วนัสพิทักษ์สกุล ผู้บริหารไร่ชาฉุยฟง กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาผลผลิตชาของไร่ชาฉุยฟงก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและภาวะเศรษฐกิจ รวมไปถึงกรแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ส่งผลทำให้รายได้ของตลาดชาลดลง ในช่วงปีที่ผ่านมา และในช่วงต้นปีอากาศแห้งแล้วส่งผลให้มีผลผลิตน้อยลง เพราะผลผลิตชานั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นหลัก ในส่วนของการแข่งขับกับชาต่างประเทศชาไทยได้รับผลกระทบจากส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยมากเพราะส่วนใหญ่จะเป็นชาฝรั่งที่นำเข้ามา ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคเป็นคนละกลุ่มกันกับผู้บริโภคชาไทย ทำให้ส่วนแบ่งทางการค้าจึงไม่มีผลกระทบมากนัก แต่เมื่อเทียบกับชาที่นำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นกลุ่มชาประเภทเดียวกันกับชาที่ผลิตในไทย เช่นชาเขียว ชาดำ ก็จมีส่วนแบ่งทางการตลาดบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ สำหรับไร่ชาฉุยฟง ผลิดทั้งชาสมัยใหม่ และชาดั้งเดิม ที่ชงดื่มด้วยใบชา เช่น ชาแดง ชาอู่หลง ชาเขียว ในปัจจุบันมีการพัฒนาโดยนำชาไทยมาผลสมกับสมุนไพรท้องถิ่น เช่นตะไคร้ ข้าวคั่ว ที่เป็นข้าวของเชียงราย เปเปอร์มิ้นต์ และสมุนไพรต่างๆ