ฮอมปอยแม่น้ำโขง ชี้เขื่อนไม่ใช่พลังงานสะอาด-ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน สส.ก้าวไกลเตรียม ส่ง สตง.-ป.ป.ช.จี้นายกฯตรวจสอบ

โฮงเฮียนแม่น้ำของ จัดงาน  “ฮอมปอยแม่น้ำโขง”   เปิดเวที เสวนา ภาคประชาชน รัฐ หาทางออกแม่น้ำโขง สส.วิโรจน์ ก้าวไกล เตรียมนำข้อมูลเสนอการรับซื้อพลังงาน ยื่น สตง.- ป.ป.ช. จี้นายกตรวจสอบข้อมูลรับซื้อไฟฟ้า  ครูตี๋อ่านแถลงการณ์ ชี้เขื่อนไม่ใช่พลังงานสะอาด-ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน-สิ่งแวดล้อมรุนแรง แนะรัฐฟังเสียงประชาชน

 

ระหว่างวันที่ 9 – 10 ธันวาคม 2566 ที่โฮงเฮียนแม่น้ำของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ได้มีการจัดงาน “ฮอมปอย ศรัทธาแม่น้ำโขง” โดยเริ่มงานเช้าด้วยพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้นักป้องป้องแม่น้ำโขงที่เสียชีวิต หลังจากนั้นมีอ่านบทกวี และศิลปะการแสดงสดเพื่อรำลึกถึงอุ้ยเสาร์ ระวังศรี อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น , จิตติมา ผลเสวก , ไพศาล เปลี่ยนบางช้าง  ภายในงานยังมีการออกร้านผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น โดยมีผู้ร่วมงานหลายกลุ่ม นอกชาวบ้านลุ่มน้ำโขงทั้งในภาคเหนือและภาคอีสาน ชาวบ้านจากเครือข่ายต่างๆ เช่น แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำยม นอกจากนี้ยังมีกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตัวแทนสถานเอกอัครราชทูต นักวิชาการ ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงการเปิดห้องสมุดดิจิติลโฮงเฮียนแม่น้ำของ อย่างเป็นทางการ

ในช่วงบ่ายมีการจัดเวทีเสวนา 2 เวที เวทีแรกเป็นเสียงสะท้อนสภาพปัญหาของแม่น้ำโขงจากชาวบ้านริมแม่น้ำโขง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนเวทีสองเป็นคำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนักวิชาการ ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
ในเวทีแรก นายทองสุข อินทะวงศ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านห้วยลึก อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย กล่าวว่า ได้พยายามตั้งคำถาม แสดงความเห็น และคัดค้านการสร้างเขื่อนปากแบงในลาว เพราะหวั่นเกรงอุบัติภัยในอนาคต เรื่องใหญ่สุดคือน้ำเท้อ (ปรากฎการณ์น้ำย้อนไหลกลับ) ที่บ้านห้วยลึกจะได้รับผลกระทบเป็นหมู่บ้านแรก และอาจยาวมาถึง อ.เชียงของ ซึ่งปัญหาก็คือคนที่มีที่ดินมรดกบรรพบุรุษแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ หากเกิดน้ำเท้อขึ้นมาอาจมีปัญหาเรื่องค่าชดเชย ขณะที่การหาปลาที่เคยอุดมสมบูรณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป จนถึงขณะนี้ไม่มีใครกล้าลงทุนเติมน้ำมันเรือไปหาปลาเพราะไม่ได้ปลา ทำให้ครอบครัวอาชีพประมงต้องลำบาก บ้านแตกสาแหรกขาดเพราะพ่อแม่ต้องเข้าไปหางานทำในเมือง ลูกๆต้องอยู่กับตายาย กลายเป็นวิบากกรรมจากการพัฒนาโดยฝีมือมนุษย์
“เราเคยทำงานวิจัยเรื่องเกาะแก่งแม่น้ำโขงร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อุปกรณ์หาปลาต้องเอาทิ้งหมดเพราะหากินไม่ได้ เช่น แหถี่ใช้ไม่ได้ ผมกังวลมากหากสร้างเขื่อนและเกิดน้ำเท้อ บ้านห้วยลึกสูง 315 เมตร จากระดับน้ำทะเล แต่ทางกรมทรัพยากรน้ำบอกน้ำเท้ออยู่ระดับ 340 เมตร ดังนั้นน้ำจึงท่วมแน่ๆ แม้เราต่อสู้แล้วไม่ชนะ แต่เราเป็นพลังกลุ่มบริสุทธิ์ เราไม่ได้คัดค้านหรือต่อต้านถึงขั้นปะทะ แต่พูดด้วยเหตุผลว่าก่อนทำ ทำไมไม่ดูผลกระทบก่อนว่าคุ้มค่าหรือไม่ ไม่ใช่โยนไปโยนมา ตอนนี้เห็นตั้งงบประมาณไว้ 46 ล้านบาท มันกี่หมู่บ้าน ดีใจที่เห็นรองอธิบดีกรมสนธิสัญญาไปที่บ้านผม ท่านพูดเรื่องทางบก แต่เราอยากพูดเรื่องทางน้ำด้วย”นายทองสุขกล่าว
นายทองสุขกล่าวอีกว่า หากมีเขื่อนปากแบง เมืองมีน้ำเท้อ เกาะแก่งก็หายไป ซึ่งน่าห่วง อยากเรียกร้องเรื่องการดูแลสิทธิชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องเขื่อน ไม่แน่ใจว่าบริษัทได้จ้างคนมาสำรวจความเสียหายจำนวนกี่ไร่เพื่อชดเชยค่าเสียหายหรือไม่ ชาวบ้านถามไปแล้วเงียบและปล่อยให้สร้าง ต้องยืนยันให้ได้ว่าพื้นที่ติดริมน้ำเสียหายเท่าไหร่  จะจ่ายค่าชดเชยกันอีกกี่ปี
“เมื่อก่อนเขาบอกว่าถ้ามีผลกระทบจะทำลายเขื่อน มันเรื่องจริงเหรอ ผมอยากให้ปิดกระบอกเสียงนี้ก่อน ความเจริญที่เข้ามาทำลายหลายอย่าง ผมต่อสู้เรื่องนี้มา 25 ปี” อดีตผู้ใหญ่บ้านห้วยลึกกล่าว
นายมานพ มณีรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านปากอิงใต้ อ.เวียงแก่น กล่าวว่า สอบถามทางการไปแล้ว แต่ได้รับคำตอบว่าการสำรวจยังไม่แล้วเสร็จ แต่กลับไปลงนามในสัญญาสร้างเขื่อนกันก่อน บริษัททำเพื่ออะไร สิ่งเหล่านี้ประชาชนพยายามพูดหลายเวทีแต่เสียงไม่ดังพอ เป็นเรื่องที่น่าน้อยใจเพราะคนเชียงของเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น  การที่ต้องการพลังงาน ชาวบ้านเข้าใจ แต่ก่อนสร้างทำไมไม่ศึกษา ที่ดินหลายแปลงไม่มีเอกสารสิทธิ หากน้ำท่วมผืนดินเหล่านี้หายไปแล้วใครรับผิดชอบ ได้เตรียมการรองรับหรือไม่ ชาวบ้านจะไปทำกินที่ไหน เคยถามว่าหน่วยไหนเป็นหน่วยงงานหลักเกี่ยวกับการกำหนดขั้นตอนการเยียวยา ก็ตอบไม่ได้
นายอภิธาร ทิพย์ตา นายกเทศมนตรีเทศบาลม่วงยาย อ.เวียงแก่น กล่าวว่า แม่น้ำงาวไหลผ่าน อ.เวียงแก่น เกาะแก่งผาไดจะอยู่ใต้น้ำทั้งหมด เมื่อเกิดน้ำท่วมจะทำให้น้ำเท้อมาถึง อ.เชียงของแน่ๆ เพราะบริเวณผาไดเป็นคอขวด และสวนส้มโอบริเวณน้ำงาวต้องถูกน้ำท่วมแน่ๆ ยิ่งถ้ามีเขื่อนยิ่งทำให้น้ำไหลช้า พืชเศรษฐกิจของเวียงแก่นมี 2 พันไร่ ถ้าเกิดน้ำท่วมน้ำขังเสียหายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่อปี เทศบาลรู้สึกกังวลมากว่าทำให้เศรษฐกิจสูญเสียไปเท่าไหร่ ตอนนี้ชาวบ้านยังทราบข่าวไม่มาก เพราะเพิ่งได้ข้อมูล ถ้าชาวบ้านทราบก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมุษยชน กล่าวว่า ชาวบ้านมีสิทธิเต็มที่ในการเรียกร้องและปกป้องสิทธิของตัวเองและชุมชนซึ่งอยู่ร่วมกันมาเป็นร้อยๆปีโดยมีรัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง ชาวบ้านไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยแต่จู่ๆเอกชนไทยไปเซ็นสัญญากันไว้แล้วส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประชาชน รัฐจึงสอบไม่ผ่านเรื่องนี้ จึงมีหนังสือด่วนถึงนายกรัฐมนตรี 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ขอให้ทบทวนการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เพราะเรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ กสม.อย่างรอบด้าน ประเด็นสำคัญที่ท้วงติงคือชาวบ้านยังไม่รับรู้ข้อมูลและมีการศึกษาพบว่าน้ำท่วมนับ 10 หมู่บ้าน แต่รัฐบาลจะหยุดหรือไม่ก็ต้องร่วมกันตรวจสอบ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ไม่เพียงผลกระทบปฐมภูมิ แต่จริงๆแล้วยังมีผลกระทบทุติยภูมิในวงกว้างออกไป หากไม่คำนึงถึงตรงนี้ ประเมินผลการศึกษาความคุ้มค่าไม่รอบด้าน ถามว่าโครงการนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ ส่วนการประเมินความคุ้มค่าไฟฟ้า หลายคนกังวลว่าระหว่างสร้างเขื่อน 7-8 ปี ความเป็นจริงจะตรงข้ามกับในกระดาษโดยเฉพาะแผนพลังงานชาติที่จะครบปีหน้ ทำไมถึงไม่รอตอนนั้น การสำรองไฟฟ้ามากเกินไปส่งผลต่อราคาค่าไฟฟ้า ถ้าโครงการไม่คุ้มค่าไม่คุ้มทุน ใครจะรับผิดชอบ
“ที่สำคัญสุดคือข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนได้รับ และการประเมินไม่ใช่แค่ปฐมภูมิ ถ้าคุณจำกัดเอาเฉพาะคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเท่ากับคุณปั้นตัวเลขให้ต่ำกว่าความเป็นจริง คุณจงใจให้โครงการนี้คุ้มทุนไว้ก่อน เราจะร่วมกันผลักดันเรื่องนี้ต่อไป”นายวิโรจน์กล่าว
ในส่วนของยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าต้องเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏไปทำให้นายกรัฐมนตรีรับทราบและจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้  นอกจากนี้ยังต้องช่วยกันติดตามแผนพลังงานชาติ และเขื่อนปากแบงว่าสอดคล้องกับแผนหรือไม่ หากมีการปลดระวางก็ต้องตั้งคำถามกับโรงไฟฟ้าที่หมดอายุและต่ออายุ เรื่องนี้ต้องนำไปสู่การอภิปรายในสภาหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยซ้ำ เรื่องนี้ไม่ใช่กระทบแค่คนเชียงของแต่กระทบกับคนทั้งประเทศ ทุกวันนี้ทุกคนยังต้องผัดผ่อนหนี้ค่าไฟฟ้าซึ่งไม่จีรัง
“อยากให้ใช้กลไก ป.ป.ช.และ สตง.ด้วย นอกจาก กสม. อะไรที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ถ้าดึงเอาแนวร่วมองค์กรอิสระเข้ามาสื่อสาร จะทำให้มีน้ำหนัก ส่วนในสภา เราจะดำเนินการอยู่แล้ว เป็นแม่น้ำ 4 สาย หากนายกฯไม่ทบทวนก็อาจถูกข้อหาละเว้นปฎิบัติหน้าที่ อย่างน้อยให้ประชาชนสิ้นข้อสงสัยหากจะทำจริงๆ”นายวิโรจน์ กล่าว
นางสาวเบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่าจากการรับฟังเสียงจากภาคประชาชนและสังคมรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีข้อกังวลที่จะนำไปพิจารณาคือเขื่อนมีการลงนามสัญญาขณะไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังล้นระบบ ทำให้พรรคจะนำเข้าสู่กรรมาธิการที่เกียวข้อง เช่น กรรมาธิการพลังงาน ฯลฯ เพื่อสอบหาข้อเท็จจริงว่าการลงนามซื้อกพลังงานไฟฟ้าในช่วงนี้เหมาะสมหรือไม่ นอกจากนี้มีข้อกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ ซึ่งกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีการตั้งคณะทำงานศึกษาแล้ว แม้เอกชนจะมีการทำผลการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือ EIA แล้ว แต่กรรมาธิการของไทยก็ควรศึกษาในเรื่องนี้ด้วย และสุดท้ายที่กังวลคือการปล่อยน้ำในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อชุมชนและเขตประเทศไทยหรือมได้วย ซึ่งจะนำข้อกังวลไปศึกษาและพิจารณาเมื่อได้ข้อสรุปจะนำเสนอนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้รับทราบถึงข้อห่วงกังวลของประชาชนและสามารถทำสิ่งใดได้บ้างหลังลงนามในสัญญาซื้อพลังงานไฟฟ้าไปแล้ว

นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อก้าวไกล กล่าวว่าตนมีข้อกังวลเรื่องค่าซื้อกระแสไฟฟ้าที่ลงนามในสัญญาซื้อจากเขื่อนนานถึง 30 ปี จะทำให้ระบบไฟฟ้าไทยขาดการยืดหยุ่นแทนที่จะซื้อไฟฟ้านำไปส่งเสริมประชาชน เช่น โซล่าเซลล์จะดีกว่าหรือไม่ ฯลฯ นอกจากนี้ห่วงเรื่องภัยแล้งจะทำให้เขื่อนนี้จะไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้หรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายหรือไม่

นายศุภโชติ ไชยสัจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้ฟังความคิดเห็นของชาวบ้านแล้วมีความเห็นในทางเดียวกัน
“เราคิดเห็นแนวเดียวกันกับชาวบ้านว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนมีมากขึ้นอย่างไรแล้วจะทำอย่างไรต่อ ถ้าEIA ชี้ให้เห็นว่าไม่ผ่าน เขื่อนจะไม่ถูกสร้างหรือไม่ คำถามคือกระบวนการทำ EIA มาตรฐานในการจัดทำคืออะไร ถ้ากำหนดนโยบายระยะยาว มันสอดคล้องกับมาตรฐานระดับนานาชาติแค่ไหน ดังนั้นถ้าเราทำประเมินผลกระทบอย่างครอบคลุมทั้งแม่น้ำสายหลัก สายรอง ไปจนถึงอัตราค่าไฟต้นทุนพลังงาน Take or Pay ไทยเรามีรูปแบบสัญญาซื้อไฟฟ้าที่แปลก คือไม่ว่าต้นทุนจะต่ำลงเพียงใด ไฟฟ้าที่ซื้อมาใช้หรือไม่ใช้รัฐจ่ายเงินทุกกรณี เราจะต้องจ่ายในอัตราที่สัญญากำหนด จึงเป็นเรื่องที่ต้องทบทวน ดังนั้นการศึกษาผลกระทบอย่างครอบคลุมเพียงพอจึงสำคัญต่อการสร้างเขื่อน” นายศุภโชติ กล่าว

ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลมีกรรมาธิการ พัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษาผลกระทบครอบคลุม เราจะเชิญสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ปปช. เราจะรอดูว่านายกรัฐมนตรีจะมีแอคชั่นอย่างไรต่อ ถ้านิ่งเฉยก็จะถือว่าจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 187
สำหรับในวงเสวนาช่วงที่ 2  ได้มีการจัดเสวนา “ภูมิรัฐศาสตร์แม่น้ำโขง” โดย มี ศาสตราจารย์กิตติคุณสุริชัย หวันแก้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นางหลี่ จิ้น เจียง ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำสหประชาชาติ ,นายศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โดยมี น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ ดำเนินรายการ
นางหลี่ จิ้นเจียง ผู้แทนสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ที่ปรึกษาด้านการเมือง กล่าวว่าในฐานะที่เป็น ผู้แทนสถานทูตจีนเพียงคนเดียวบนเวทีเสวนานี้ อยากพูดถึง วิสัยทัศน์ในการทำงานของจีน ตั้งแต่ต้นน้ำโขงในจีนเรียกว่าแม่น้ำล้านช้าง จีนกับ 5 ประเทศลุ่มน้ำโขงร่วมดื่มน้ำสายเดียวกัน มีความเชื่อมโยงเป็นเพื่อนมิตรที่ดี

 

“ปี2559 ได้มีการเปิดตัวความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (Lancang Mekong Cooperation หรือ LMC) วานนี้รัฐมนตรี 6ประเทศ ร่วมประชุมกันที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งจะมีความร่วมมือกันมากมาย ในฐานะที่มีกลไกร่วมหารือ พัฒนาแบ่งปันกัน ได้รับความร่วมมืออย่างดี ปีที่แล้ว มูลค่าการค้ากับจีน 510.17 แสนล้านดอล่าร์ เพิ่มเป็น 2 เท่าจาก 7 ปีก่อน เทศกาลผลไม้ในลุ่มประเทศน้ำโขง มีการนำเข้าทุเรียน รังนก ลำไย มะพร้าวสดเข้าจีน” ผู้แทนทูตจีนประจำประเทศไทยกล่าว
กลไกด้านเกษตร มีการนำเข้าฝึกอบรมความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรกว่า 1 พันคน ช่วยยกระดับด้านเกษตรแก่ประชาชน โดยไทยเป็นผู้ริเริ่ม LMC และจะเข้ารับตำแหน่งประธาน LMC ในอนาคตด้วย
“มีการอนุมัติกว่า 70 โครงการ มูลค่า 20 ล้านดอลล่าร์ ผ่านโครงการต่างๆของไทย LMC คือการพัฒนา สำหรับจีนการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ยกระดับชีวิตประชาชนคือความเร่งด่วนในปัจจุบัน สุดท้ายนี้ขออวยพรให้อนาคตลุ่มประเทศน้ำโขงมีอนาคตที่สดใส เชื่อว่าภายใต้ความร่วมมือ แม่น้ำ Mother River จะสดใส เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประชาชน นางหลี่ กล่าว
ด้าน ศาสตราจารย์กิตติคุณสุริชัย หวันแก้ว จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แม่น้ำโขงมีความหมายสำหรับคนพื้นที่ แต่ถ้าคนกรุงเทพฯ แล้วแม่น้ำโขงอยู่ไกลมาก  ดังนั้นความรู้สึกรู้สากับแม่น้ำโขง จะต้องถามไถ่คนที่ผูกพันกับคนใกล้แม่น้ำให้มากขึ้น แต่ที่ผ่านมาการสร้างเขื่อนไม่ได้ถามไถ่คนใกล้แม่น้ำเลย เวลาเขาทำสัญญาก็เป็นสัญญาที่คนพื้นที่ไม่ได้รู้ ไม่ได้อ่านด้วยเลย มันสะท้อนใจมากว่าการตัดสินใจเรื่องการสร้างเขื่อนกับคน ที่ได้รับผลกระทบ ในโครงสร้างอำนาจ มันไกลกันเหลือเกิน กว่าจะได้ยินเสียง มันต้องใช้หลายช่องทางมาก  เกิดคำถามที่ผู้แทนทูตจีนพูดว่าใครจะตรวจสอบการตัดสินใจพัฒนาเหล่านี้ ว่ามีความยุติธรรมไหม มันไม่มีความชัดเจนและไม่ยุติธรรม วันนี้เราได้ยินกับหูว่าความโปร่งใสเรื่องสร้างเขื่อนปากแบงมันไม่มีจริง และการซื้อพลังงานทั้งที่เรามีพลังงานสำรองถึง 69%
“เมื่อรับผิดชอบไม่ได้ก็ผลักภาระไปสู่อนาคต กลายเป็นว่าเราจะสร้างระบบที่ตรวจสอบร่วมกันไม่ได้ ภาคประชาสังคมผู้ได้รับผลกระทบ ถ้าเรารู้สึกว่าแม่น้ำเป็นของเราทุกคนมันไกลกว่าอธิปไตยของใครของมัน ในความรับผิดชอบของความเป็นมนุษย์ มันต้องกว้างกว่านั้น กว้างกว่าระดับรัฐบาล พี่น้องข้ามพรมแดนได้แลกเปลี่ยนกัน ผ่านสังคมออนไลน์ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง” อ.สุริชัย กล่าว

นางเตือนใจ ดีเทศน์  อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า มีการประชุมครั้งหนึ่งที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รัฐมนตรีจากจีนมาประชุมด้วย จนมีการตอบสนองข้อมูลจากเขื่อนในล้านช้าง เป็นครั้งแรกที่จีนได้แสดงท่าทีที่เป็นประโยชน์ในการแชร์ข้อมูล คนแม่โขง หรือปลายโขง หลักอธิปไตยเป็นเรื่องหนึ่ง
“เพราะให้แต่รัฐบาลตัดสินใจ ชาวบ้านไม่มีส่วนตัดสินใจเลย การแชร์ข้อมูลจึงไม่เกิดขึ้น แต่ปัจจุบันมีออนไลน์ เราสื่อสารได้หลากหลายมาก เราจะแก้ปัญหาข้อมูลที่ล่าช้ายังไง ชาวบ้านจะยังรอคอยแบบน้ำตาไหลน้อยอกน้อยใจอีกไหม การสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการตัดสินใจของประเทศลุ่มโขงสำคัญมากกว่าอธิปไตยของแต่ละประเทศ ระบบ MRC LMC ต้องช่วยรองรับกลไกนี้ ภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบันมีจุดอ่อนสำคัญ ไม่ให้ความสนใจต่อความเสื่อมสลายของระบบนิเวศน์ และให้อำนาจกับเมืองหลวงในการตัดสินใจ ผลประโยชน์ของประเทศ กับผลประโยชน์ของประชาชน น่าจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ศาสตราจารย์กิตติคุณสุริชัย กล่าว
ในขณะที่ ฟิลิปส์ เฮิสช์ จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าวว่า ถ้ามองกลับไปยาวๆ การเปลี่ยนแปลงแม่น้ำโขงหลายร้อยปีเราคาดการณ์ได้ แค่ปัจจุบันเราไม่รู้แล้วว่าระดับน้ำขึ้นลงเป็นอย่างไร
“เราได้ยินผลกระทบจากเขื่อนมาตลอด การเปลี่ยนแปลงเกิดตลอดทั้งลุ่มน้ำ ไม่ได้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เราได้ยินปัญหาเรื่องประเมินผลกระทบ จากการมีส่วนร่วม ใช้ข้อมูลน้อยมาก ดังนั้น ทำอย่างไรให้กระบวนการศึกษาผลกระทบรอบด้านจริงๆ โดยเฉพาะประเด็นความจำเป็นด้านพลังงานของไทย” นายฟิลลิปส์กล่าว

ในวันที่ 10 ธันวาคม 2566  วันที่สองของการจัดกิจกรรมฮอมปอยแม่น้ำโขง ได้มีการจัดขบวนเรือ ทั้งเรือคายัก เรือหางยาว และเรือโดยสารเพื่อรณรงค์ปกป้องแม่น้ำโขง เริ่มต้นตั้งแต่ห้วยเม็งจนถึงโฮงเฮียนแม่น้ำของซึ่งมีเครือข่ายภาคประชาชนเข้าร่วมขบวนและร่วมสังเกตการณ์เป็นจำนวนมาก

 

 

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ได้อ่านคำประกาศแม่น้ำโขง โดยระบุว่า

 

“ คำประกาศแม่น้ำโขง

ณ โฮงเฮียนน้ำของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย

10 ธันวาคม 2566

 

วันนี้พวกเราลูกหลานแม่น้ำโขง พร้อมด้วยมวลมิตร จากหลากหลายลุ่มน้ำ เช่น สาละวิน แม่น้ำยม อิระวดี เจ้าพระยา ฯลฯ ได้มารวมกันเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล สถานการณ์ และมิตรไมตรี

 

เกือบ 3 ทศวรรษแล้ว ที่แม่น้ำโขงของเราเผชิญความเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่เขื่อนแห่งแรกสร้างกั้นสายน้ำที่ตอนบน จวบจนปัจจุบันมีเขื่อนไฟฟ้าบนแม่น้ำโขงในจีน เรียงรายกันถึง 13 เขื่อน และสามปีก่อน เขื่อนไซยะบุรีก็กั้นสายน้ำโขง ต่อมาคือเขื่อนดอนสะโฮง

 

แม่น้ำโขงมิใช่รางน้ำ ท่อส่งน้ำ แต่คือกระแสธาราที่หล่อเลี้ยงชีวิต หล่อเลี้ยงลูกหลานนานาสายพันธุ์ตลอดลำน้ำ นับตั้งแต่หิมะละลายบนที่ราบสูงทิเบต ไหลผ่านโตรกเขา ภูเขาน้อยใหญ่ มีลำน้ำสาขาน้อยใหญ่เป็นดังแขนง พื้นที่ชุ่มน้ำ ป่า ทุ่งนา แปลงเกษตร ทะเลสาบเขมร แม่น้ำโขงไหลผ่านที่ราบ ลงสู่ทะเล ผ่านพื้นที่ซึ่งปัจจุบันคือ 6 ประเทศ ได้แก่จีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม

 

ระหว่างวันที่ 9-10 ธันวาคม ได้มีการจัดงานฮอมปอยศรัทธาแม่น้ำโขง มีหลายส่วนเข้าร่วมทั้งชุมชน ผู้แทนสถานทูต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ เยาวชน กลุ่มสตรี ผู้เฒ่าผู้แก่ ฯลฯ โดยได้รับฟังเสียงสะท้อนโดยเฉพาะชุมชนริมแม่น้ำโขงที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหากมีการสร้างเขื่อนปากแบงกั้นแม่น้ำโขงในลาวห่างจากชายแดนไทยเพียงกว่า 90 กม. เสียงสะท้อนอันเจ็บปวดและน้อยใจของชาวบ้านที่ไม่ได้รับการเหลียวแลใดๆ ทั้งในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลและกระบวนการมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ทำให้มีข้อเสนอในการจัดการทรัพยากรแม่น้ำโขง และต้องให้มีการหาทางออกร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรรับฟังประชาชนในทันที

 

เมื่อแม่น้ำโขงถูกควบคุมโดยเขื่อนไฟฟ้า กระแสธาราก็เปลี่ยนแปลง ระดับน้ำโขงที่เคยขึ้นลงตามฤดูกาลน้ำหลากน้ำแล้ง ก็แปรเปลี่ยนอย่างสาหัส เกิดน้ำหลากในหน้าแล้ง ส่วนหน้าฝนกลับเกิดน้ำแห้ง สิ่งเหล่านี้รบกวนระบบนิเวศแม่น้ำโขงอย่างรุนแรง พันธุ์ปลาที่อพยพตามฤดูกาลได้รับผลกระทบ ประมงแม่น้ำโขงเสียหาย สรรพชีวิตต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่ตนเองไม่ได้เลือก

 

ผลกระทบจากเขื่อนเป็นที่ประจักษ์ ชัดเจน กว้างขวาง แต่ประเทศไทยกลับลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากบริษัทเขื่อนอีก 3 แห่ง ได้แก่ ปากลาย หลวงพระบาง และปากแบง ซึ่งเป็นการร่วมทุนของเอกชนจีน ไทย ซึ่งขณะนี้เขื่อนถูกเรียกว่าไฟฟ้าสะอาด และราคาถูก ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง แต่ราคาทั้งหมดนี้ถูกจ่ายด้วยระบบนิเวศที่เสียหาย จ่ายด้วยชุมชนตลอดลุ่มน้ำที่สูญเสียวิถีชีวิตและแหล่งรายได้ จ่ายด้วยค่าไฟฟ้าที่ประชาชนไทยทุกคนแบกรับภาระในใบเรียกเก็บเงินทุกๆ เดือน

 

เราอยากเห็นแม่น้ำโขงที่สามารถหล่อเลี้ยงนานาชีวิตดังที่เคยเป็นมานับล้านๆ ปี อยากเห็นการวางแผนการพัฒนาไฟฟ้าที่รับผิดชอบ คำนึงถึงประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคนเท่าเทียมกันกับนักลงทุนเอกชนรายใหญ่ อยากเห็นความรับผิดชอบข้ามพรมแดน มีความโปร่งใสและเป็นธรรม

 

เขื่อนไม่ใช่พลังงานสะอาด

เพื่อสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และสิทธิของแม่น้ำ”