ศอ.บต. ลงพื้นที่ยะหา ติดตาม ‘มินิธัญญารักษ์’ ขยายช่องทางบำบัดยาเสพติด เน้นแก้ปัญหาผู้ป่วยกลับไปเสพซ้ำ

ในห้วงเวลาที่นโยบาย “120 วัน วาระพืชกระท่อม” ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ การแก้ไขปัญหาจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำมิได้หยุดอยู่เพียงการปราบปราม แต่หัวใจสำคัญคือการดึงผู้หลงผิดกลับคืนสู่เส้นทางปกติ ด้วยความเข้าใจและกระบวนการเยียวยาที่ต่อเนื่อง
นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. พร้อมด้วย นายอิบรอเหม เบ็ญนา หัวหน้าสำนักงานเลขานุการ ผอ.กสม. ศอ.บต. ได้ก้าวเท้าเข้าไปยังสถานที่แห่งความหวัง ณ “มินิธัญญารักษ์” โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่กำลังขับเคลื่อนการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดให้เข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น
เมื่อโรงพยาบาลธัญญารักษ์หลักต้องแบกรับภาระผู้ป่วยจำนวนมหาศาล แนวคิด “มินิธัญญารักษ์” จึงถูกขยายมายังโรงพยาบาลชุมชน เพื่อลดความแออัดและเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยในพื้นที่เข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ในจังหวัดยะลานี้ มีมินิธัญญารักษ์รวม 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์ยะลา (รองรับ 15 เตียง เน้นผู้มีอาการทางจิต), โรงพยาบาลรามัน (6 เตียง) และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา (12 เตียง) นี่คือการเปิดประตูสู่การรักษาที่ใกล้ตัวผู้ป่วยมากขึ้น
การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เยี่ยมชม แต่เป็นการ “หารือ” ถึงแนวทางการรับเคส การส่งต่อดูแลอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือ “อุปสรรค” ที่ยังเป็นข้อจำกัดของการบำบัด และการป้องกันไม่ให้ผู้ผ่านการบำบัดหวนคืนสู่วังวนยาเสพติดซ้ำอีกครั้ง
นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ได้เน้นย้ำถึงแก่นแท้ของปัญหาว่า “การแก้ไขปัญหานี้ในเชิงระบบต้องทำให้เห็นผลสัมฤทธิ์อย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นอาจกลับไปสู่วงจรเดิม” ท่านชี้ให้เห็นความคาดหวังของครอบครัวที่ฟูมฟักลูกหลานให้กลับสู่สังคม แต่ถ้าปราศจากกระบวนการที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “ศูนย์ฟื้นฟูทางสังคม” โอกาสที่จะกลับไปเสพซ้ำก็มีสูง ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น

นายแพทย์ทินกร บินหะยีอารง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา ได้อธิบายภาพการรักษาที่เกิดขึ้นจริงว่า “เราบำบัดช่วงแรกมีอาการถอนพิษ แต่ถ้ามีสถานที่ฟื้นฟูจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง เพราะชุมชนเองก็ไม่อยากให้ลูกหลานเขากลับไปติดซ้ำ” พร้อมเผยความจริงที่น่าหดหู่ว่า “ทุกวันนี้ หลังจากเข้ามาบำบัดที่โรงพยาบาล เมื่อกลับไปแล้ว ประมาณ 1-2 อาทิตย์ก็กลับมาอีก” นี่คือเสียงสะท้อนจากหน้างานที่ชี้ชัดว่า การ “ถอนพิษ” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
นายยาห์ยา อุเซ็ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ เล่าถึงสภาพจริงของผู้ป่วยที่เข้าบำบัดว่ามีทั้งที่ถูกบังคับและที่สมัครใจ (ซึ่งยังมีน้อย) และชี้ให้เห็นถึงความท้าทายเรื่องข้อจำกัดของเตียง และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องไปศึกษาต่อ ทำให้รับผู้ป่วยได้น้อยลง
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือช่วงเวลาหลังจาก 14 วันของการถอนพิษ เพราะนั่นคือ “ช่วงฟื้นฟู” ผู้ป่วยและครอบครัวจำนวนมากมาปรึกษาเรื่องการฟื้นฟูต่อเนื่อง รวมถึงการส่งเสริมอาชีพ แต่สถานที่ฟื้นฟูภาครัฐยังไม่เพียงพอ ทำให้ผู้มีกำลังทรัพย์ต้องไปพึ่งพาเอกชน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4-5 พันบาท แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีเงิน เมื่อกลับบ้านแล้ว สิ่งที่ฉุดรั้งให้พวกเขากลับไปเสพซ้ำคือ “สภาพแวดล้อม สังคม” และ “การปิดโอกาส” ที่คนในชุมชนมองพวกเขาว่าเป็น “พวกขี้ยายา” ทำให้ท้อถอยสิ้นหวัง
ท่ามกลางความท้าทายนี้ นายยาห์ยาได้ตอกย้ำถึงตัวแปรสำคัญที่สุดในการหยุดยั้งวงจรการกลับไปเสพซ้ำ นั่นคือ “ผู้นำชุมชน และ ครอบครัว” ท่านกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “สิ่งสำคัญที่สุด ผู้นำชุมชน กับ ครอบครัว คือตัวแปรสำคัญมาก ให้โอกาสเขา สนับสนุนเขา เพื่อให้เขาข้ามจุดนั้นให้ได้ ตรงนี้จะช่วยได้เยอะ”
นี่คือเสียงเรียกร้องจากหน้างาน ที่สะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้กับยาเสพติดมิใช่ภารกิจของรัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นเรื่องของ “เราทุกคน” ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงสังคมโดยรวม ที่ต้องหลอมรวมพลัง เปิดใจ และหยิบยื่น “โอกาส” ให้แก่ผู้ที่กำลังพยายามดิ้นรนหลุดพ้นจากวังวนของยาเสพติด เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่สงบสุขและยั่งยืนอย่างแท้จริงในพื้นที่ชายแดนใต้