“ทวี” ลุยปัตตานี! มอบนโยบายบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด เน้น “ความสุขของประชาชน” เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นำคณะลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด โดยภารกิจในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการประชุมมอบนโยบายที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี และตรวจเยี่ยมการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด โดยมี พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศอ.บต รองเลขาธิการ ศอ.บต. รองแม่ทัพภาคที่ 4 รองผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าที่หัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมประชุมกับคณะกรรมการศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหายาเสพติดในมิติของศาสนาและภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ป่วยยาเสพติดในหอผู้ป่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารผู้ป่วยนอก (OPD) หอผู้ป่วยในบำบัดด้วยยา (IPD1) และหอผู้ป่วยในฟื้นฟูสมรรถภาพ (IPD2) รวมถึงยังได้มอบสิ่งของเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน Re-entry ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อผู้ป่วยกลับสู่ชุมชนอย่างปลอดภัย

นอกจากการเยี่ยมชมด้านการแพทย์แล้ว รัฐมนตรีทวียังได้เดินทางไปที่อาคารอาชีวบำบัด เพื่อชมผลงานจากฝีมือผู้ป่วย ทั้งงานผ้าและงานผัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูทางอาชีพ จากนั้นได้เยี่ยมชมบ้านพักใจ ODICห้องแสดงผลิตภัณฑ์ และร้านค้าสวัสดิการ เพื่อให้เห็นถึงกระบวนการฟื้นฟูที่ครบวงจร

ในช่วงเย็น รัฐมนตรีฯ ได้เดินทางไปที่สนามกีฬากลางจังหวัดปัตตานี เพื่อเป็นประธานเปิดการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างทีม การท่าเรือ FC กับทีม ปัตตานี FC ซึ่งสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองให้กับประชาชนในพื้นที่

ภารกิจในพื้นที่จังหวัดปัตตานีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยังไม่สิ้นสุดลงแค่วันนี้ โดยในวันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม 2568 มีกำหนดการเข้าร่วมพิธีเปิดมหกรรมต้อนรับฮิจเราะห์ ณ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี รวมถึงเดินทางไปพบปะเกษตรกรในพื้นที่บ้านโคกหญ้าคา อำเภอยะรัง เพื่อหารือแนวทางการสนับสนุนจากรัฐบาลและกระทรวงยุติธรรม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนให้ยั่งยืนต่อไป

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งเน้นการบำบัดฟื้นฟูเป็นหลัก และใช้ตัวชี้วัดความสำเร็จคือ “ความสุขของประชาชน”พร้อม ได้เน้นย้ำถึงมาตรการที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และชี้ให้เห็นว่าการบำบัดฟื้นฟูใช้งบประมาณน้อยกว่าการปราบปรามอย่างมาก โดยเปรียบเทียบว่าการปราบปรามใช้งบประมาณ 1 แสนบาท แต่การบำบัดใช้เพียง 4,000 บาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนจะยอมรับได้มากกว่า

นอกจากนี้ พ.ต.อ.ทวี ยังได้เน้นย้ำให้ ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ร่วมกับทุกภาคส่วนเป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหา โดยเสนอให้มีการกำหนดวันเฉลิมฉลอง “ชุมชนปลอดยาเสพติด” หรือ “ชุมชนมีความสุข” เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชุมชน และให้ประชาชนมีความรู้สึกปลอดภัยในช่วงเทศกาลสำคัญ

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาพืชกระท่อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมระบุว่า แม้จะไม่มีกฎหมายควบคุมกระท่อมโดยเฉพาะ แต่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี “กฎศาสนา กฎชุมชน มาตรการสังคมที่เข้มแข็ง” ซึ่งเข้มงวดกว่าพื้นที่อื่น ๆ และยังเตรียมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อออกกฎกระทรวงให้ “น้ำต้มกระท่อม” เป็นสิ่งผิดกฎหมายไปเลย

ในส่วนของการฟื้นฟูผู้ต้องขังในเรือนจำ พ.ต.อ.ทวี ได้กำชับเรื่องการเรียนรู้ภายในเรือนจำ เพื่อให้ผู้พ้นโทษมีโอกาสในการมีอนาคตที่ดีขึ้น โดยเสนอให้มีการเปิดปอเนาะในเรือนจำ และเมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษออกมาแล้ว ควรให้มีการจัดเลี้ยงต้อนรับเหมือนกับการกลับจากทำฮัจญ์ เพื่อให้สังคมให้โอกาสและยอมรับในการกลับสู่สังคมอย่างมีศักดิ์ศรี

การให้ความสำคัญกับการบำบัดฟื้นฟูและตัวชี้วัดความสำเร็จที่มุ่งเน้นไปที่ความสุขของประชาชน ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ท้าทาย ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี หวังว่าจะสามารถนำ “โมเดล” นี้ไปประกวดและได้รับรางวัล เพื่อเป็นกำลังใจในการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป

ในโอกาสนี้ พ.ต.อ. ทวี ได้กล่าวให้กำลังใจแก่ผู้เข้ารับการบำบัดด้วยว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ฟื้นฟูชีวิตใหม่ ท่านเปรียบเทียบสถานที่บำบัดนี้ว่าเป็นที่ที่ช่วยสร้างคนใหม่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น และให้เกียรติผู้ที่ก้าวพลาดไปใช้ยาเสพติด

อีกทั้งยังชื่นชมทุกคนที่สมัครใจเข้ารับการบำบัดเพื่อไม่ให้เป็นภาระของครอบครัวและชุมชน โดยกล่าวว่าทุกคนมีเกียรติและเปรียบเสมือนเป็น “คนทรงเกียรติ” ที่กล้าจะเริ่มต้นใหม่ เปรียบเทียบสถานที่บำบัดกับที่อื่น: ท่านกล่าวว่าได้ไปดูงานมาหลายที่ และชื่นชมว่าที่นี่ไม่แพ้ที่อื่น

และยัง มองผู้บำบัดคืออนาคตของชาติว่า หวังว่าทุกคนจะออกไปเป็นคนใหม่ที่มีคุณภาพ มีสุขภาพที่ดี และมองว่าคนเหล่านี้คืออนาคตที่จะช่วยดูแลบ้านเมืองต่อไป

ด้าน พันตำรวจโทวรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
ได้กล่าวรายงานถึงแนวทางและมุมมองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อความมั่นคงของสังคมไทย ไม่เฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ลุกลามถึงครอบครัวในทุกภูมิภาคของประเทศ

ศอ.บต. ตระหนักว่ายาเสพติดมิใช่เพียงปัญหาด้านสุขภาพ แต่คือบาดแผลที่ทำลายทรัพยากรมนุษย์ เศรษฐกิจ และรากฐานครอบครัว กระผมจึงเห็นว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ทั้งรัฐ ชุมชน และผู้นำศาสนา โดยอาศัยพลังศรัทธาและวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนในพื้นที่เป็นเครื่องมือสำคัญ

ในช่วงที่ผ่านมา ศอ.บต. ได้ร่วมขับเคลื่อน “วาระ 120 วันต้องเห็นผล” โดยมุ่งเป้าการจัดการกับพืชกระท่อมที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชนและชุมชน ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนและผู้นำศาสนา ที่ร่วมประกาศจุดยืนให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมตามหลักศาสนาและสังคม และยืนยันว่า ศอ.บต. จะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อขจัดภัยยาเสพติดอย่างยั่งยืน และสร้างอนาคตที่มั่นคงให้แก่เยาวชนและประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
ทางด้าน หน่วยงานสาธารณสุขเผยแนวทางการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่เข้มงวดและเป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะใน 7 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งไม่มีการฉีดยาแล้วปล่อยให้กลับบ้านทันที แต่จะให้ผู้ป่วยพักฟื้นในสถานพยาบาลและมีการตรวจซ้ำ เพื่อให้มั่นใจในผลการรักษา

พร้อมยกย่องโมเดลการควบคุมพืชกระท่อมใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ใช้หลักศาสนาและชุมชนเป็นแกนหลัก สะท้อนความสำเร็จจากรากฐานที่เข้มแข็งของสังคม

“ใน 7 จังหวัด ที่กล่าวถึง ได้มีการปรับปรุงแนวทางการรักษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดด้วยการฉีดยาจะ ไม่ถูกปล่อยให้กลับบ้านในทันที แต่จะต้องพักฟื้นในสถานพยาบาลอย่างน้อย 2 วัน เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถติดตามอาการและตรวจซ้ำได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการป้องกันการกลับไปใช้ยาซ้ำและสร้างความมั่นใจในการรักษาได้มากขึ้น”

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง “มินิธัญญารักษ์” ขึ้นในทุกแห่ง เพื่อเป็นศูนย์บำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในพื้นที่ต่างๆ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามของทุกฝ่ายในการช่วยเหลือผู้ป่วยให้กลับคืนสู่สังคมอย่างยั่งยืน

ในประเด็นของพืชกระท่อม ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงและสร้างความลำบากใจให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการปฏิบัติงาน แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ได้กล่าวชื่นชมโมเดลการควบคุมพืชกระท่อมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า “ดีมาก” เนื่องจากชุมชนในพื้นที่ใช้ “หลักศาสนา ชุมชนที่เข้มแข็ง ฮารอม” (เป็นสิ่งต้องห้ามทางศาสนา) เป็นเครื่องมือในการควบคุมปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพลังของชุมชนและหลักความเชื่อทางศาสนา สามารถเป็นกลไกที่ทรงพลังในการแก้ไขปัญหาสังคมได้ดีกว่าการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว