กลุ่มตัวแทนประมงโพงพางจ.สงขลา ยื่นหนังสือให้กับประธานสภาที่ปรึกษาศอ.บต.หาทางออกจากการรื้อถอนเลิกทำประมงโพงพาง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพ

ปัตตานี (19 ส.ค.68) ณ รร.เซาท์เทิร์นวิว ปัตตานี กลุ่มตัวแทนประมงโพงพางจ.สงขลา ยื่นหนังสือให้กับ นายขดดะรี บินเซ็นประธานสภาที่ปรึกษาศอ.บต.เรื่องการเยียวยาจากการรื้อถอนเลิกทำการประมงโพงพาง ส่งผลกระทบวงกว้างอย่างมากต่อการดำรงชีพ
นายสมชาย สุริยะ อิหม่ามมัสยิดหัวสนอ่อน ตัวแทนยื่นหนังสือร้องเรียนบอกว่า ขอให้ประธานสภาที่ปรึกษาศอ.บต.รับหนังสือและเป็นกระบอกเสียงพร้อมหาทางออกให้กับพี่น้องที่เดือดร้อน เมื่อมีการรื้อถอนโพงพางทำไห้ชาวบ้านประสบปัญหาทุกวันคือ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่ไม่มีรายรับ ไม่มีอาชีพอื่น ขอให้รัฐมาร่วมหาทางออกร่วมกัน
“จะนำเรื่องเข้าสู่สภาฯ วันที่ 6 ก.ย. และดูเรื่องข้อกฎหมายว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไร รัฐต้องใช้ทั้งนิติรัฐและนิติธรรม หากประชาชนทำผิดกฎหมายจะช่วยเยียวยาได้อย่างไร สัญญาว่าจะขับเคลื่อนให้ได้รับความเป็นธรรม” ประธานที่ปรึกษาศอ.บต. กล่าวยืนยันและรับหนังสือจากตัวแทนกลุ่ม
สิ่งที่ชาวบ้านต้องการในการยื่นหนังสือครั้งนี้คือ ไม่ได้ต้องการทำผิดกฎหมาย ขอให้หน่วยงานเบื้องบนลงมาพูดคุย หาทางออกแก้ปัญหากับชาวบ้าน
“เราทำอาชีพนี้มาเป็นร้อยปี พื้นที่บ้านเราด้านหลังคือภูเขา ด้านหน้าเป็นทะเล เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ คนหัวเขาส่วนใหญ่อยู่ในชุมชน ทำประมงเป็นหลักกว่า 90 แปอร์เซ็นต์ เราไม่มีอาชีพอื่น ทำกันมา 5-6 รุ่น ปีนึงทำประมงได้ประมาณ 7 เดือน ถ้ารัฐหาทางออกให้เราบ้างก็ดี ถ้าให้อาชีพมาแล้วเราทำไม่ได้คือเท่ากับถูกลอยแพ เรื่องนี้เป็นการอำนวยผลประโยชน์ให้นายทุน ชาวบ้านไม่กล้าพูด แต่ต้องพูดแล้ว ปัญหามีมานาน ต้องให้จบที่รุ่นเรา จะได้ทำมาหากินกันต่อไป” ตัวแทนกลุ่มฯ รายหนึ่งบอกถึงประเด็นความเดือดร้อน
พร้อมยืนยันว่า ยังไม่มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น มีการข้ามขั้นตอนไปยังการรื้อถอน และเป็นการใช้กฎหมายที่ไม่เท่าเทียม ในทะเลสาบสงขลามีการใช้เครื่องมือประมงผิดกฏหมายทั้งทะเลสาบ ไม่มีการขึ้นทะเบียนทั้งไซนั่ง ไซขาเดียว ยอ และหมำ หากบอกว่ามีการใช้กฏหมายเท่าเทียมต้องรื้อถอนทั้งหมด ไม่ใช่แค่จากหัวพญานาคถึงท่าสะอ้านเท่านั้น
ตัวแทนรายหนึ่งบอกถึงเรื่องเขตพื้นที่ประมงพิเศษสงขลาตอนล่างจากแนวคิดของอดีตผวจ.สงขลา ก่อนนี้ว่า แนวคิดคือในทะเลสาบสงขลามีเครือข่ายประมงจำนวนมาก 1)ต้องมีร่องน้ำเดินเรือประมงพาณิชย์ เรือขนถ่ายสินค้า เรือส่งของไปยังแท่นเจาะน้ำมัน และเรือท่องเที่ยว 2)ต้องส่งเสริมให้มีเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ ขยายเขตที่มีให้มากกว่าเดิม 3)ผลักดันให้เครื่องมือประมงในทะเลสาบสงขลาถูกกฎหมายและรองรับกฎหมาย เหมาะกับพื้นที่ หากเป็นเพียงแค่คำพูด ไม่ได้สานต่อ
“ซึ่งระบบนิเวศทะลสาบสงขลาต่างกันมากกับพื้นที่ทะเลอื่นที่เรามีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม เราอยู่ปลายน้ำที่เป็นน้ำเค็ม เมื่อถึงฤดูฝนจะกลายเป็นน้ำจืด ปู ปลา กุงแชบ๊วยจะไม่มี เมื่อฤดูมรสุม น้ำฝนหมด น้ำเค็มมา สัตว์น้ำเริ่มเข้ามาฟักตัว วางไข่ ในพื้นที่อนุรักษ์ เมื่อโตเราก็จับขึ้นอยู่กับฤดูกาล ในอดีตปากอ่าวกว้าง สัตว์น้ำเข้ามาสะดวกและมีจำนวนมาก เมื่อปากอ่าวแคบสัตว์น้ำก็มาวางไข่ได้น้อย คือปัญหาใหญ่”
จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา ภายใต้การอำนวยการของ นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกรมประมง ร่วมกับทัพเรือภาคที่ 2, กองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ, ศรชล.ภาค 2, ศรชล.จังหวัดสงขลา, กอ.รมน.จังหวัดสงขลา, สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาสงขลา, ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และฝ่ายปกครอง นำกำลังเจ้าหน้าที่ลงเรือกว่า 20 ลำ เข้าทำการรื้อถอนโพงพาง บริเวณปากร่องน้ำทะเลสาบสงขลาเพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ทะเลสาบสงขลา และคืนร่องน้ำปลอดภัยในการเดินเรือให้ผู้สัญจรและเรือขนส่งสินค้า โดยเจ้าหน้าที่ได้บูรณาการกำลังแบ่งเป็น 3 ชุด ลงเรือมุ่งเป้าเข้ารื้อถอนโพงพาง 13 แถว จำนวน 159 ปาก โดยเริ่มจากการใช้เรือยางของกรมประมงเข้าไปตัดเชือกที่ผูกติดอยู่กับเสาโพงพาง ซึ่งเป็นวัสดุที่ยึดตรึงโพงพางไว้ ก่อนทำการตัดอวนตาข่ายที่จมอยู่ใต้น้ำ แต่เนื่องจากเชือกและเสาโพงพางแต่ละต้นมีความสูงใหญ่ บวกกับถูกปักไว้เป็นเวลานานหลายปี และเป็นปฏิบัติการในเวลากลางคืน จึงทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก เมื่อตัดเชือกออกแล้วทางทัพเรือภาคที่ 2 ต้องใช้เรือหลวง ผูกเชือกลากถอนเสาโพงพางแต่ละต้น ก่อนนำเสาโพงพางที่รื้อถอนได้บรรทุกขึ้นเรือหลวง เพื่อนำขึ้นฝั่งและอายัติไว้เป็นของกลางในการดำเนินคดีต่อไป
ขณะเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติการอยู่นั้น มีชาวประมงโพงพางในพื้นที่ได้นำเรือหางยาวขับไล่ตามเรือราชการ จุดพลุส่งสัญญาณและโทรศัพท์ตามชาวบ้านให้นำเรือประมงเข้ามาสมทบ เพื่อขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ มีการตะโกนด่าทอต่อว่าเจ้าหน้าที่ด้วยคำหยาบคายหาว่าทำเกินกว่าเหตุ โดยยังคงอ้างเหตุผลเดิมว่า โพงพางคือวิถีชีวิตของชาวบ้าน ขณะที่ชาวประมงโพงพางบางส่วนได้นำเรือหางยาวหลายสิบลำ เทียบท่านำกำลังชาวบ้านปิดท่าเรือไว้ไม่ให้เรือของราชการขึ้นท่าได้ พร้อมฉายไฟใส่และตะโกนต่อว่าระงม เจ้าหน้าที่พยายามระงับโทสะและอธิบายเหตุผลของการปฏิบัติว่าเป็นนโยบายของจังหวัดสงขลา ส่วนความผิดในมาตรา 103 วรรคสามชี้ชัด ในกรณีที่ไม่ปรากฏตัวบุคคลซึ่งติดตั้งเครื่องมือทำการประมง สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งใด ๆ ลงในที่จับสัตว์น้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจรื้อถอนได้ เมื่อรื้อถอนแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่เก็บรักษาเครื่องมือ หรือวัสดุที่รื้อถอนไว้เป็นเวลาสามสิบวัน ถ้าเจ้าของไม่มาแสดงตนเพื่อขอคืนให้เครื่องมือหรือวัสดุดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน และพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจทำลาย ขาย หรือดำเนินการอื่นได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนด ส่วนมาตรา 146 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 67 (1) ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมงแล้วแต่จำนวน
ซึ่งนอกจากผลกระทบด้านระบบนิเวศแล้ว โพงพางยังกระทบตั้งอยู่ในลักษณะกีดขวางร่องน้ำเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ ตามประกาศของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ที่ 2/2567 เรื่อง แนวเขตร่องน้ำการเดินเรือเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ เห็นได้ว่าหากย้อนไปเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานประมงจังหวัดสงขลา ได้ออกคำสั่งสำนักงานประมงจังหวัดสงขลา ที่ 16/ 2567 ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างลงในที่จับสัตว์น้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองรื้อถอนเครื่องมือประมงประจำที่ประเภทโพงพาง และหรือเครื่องพันธการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง บริเวณร่องน้ำทะเลสาบสงขลา ตั้งแต่ช่วงบริเวณหัวพญานาคไปจนถึงท่าเทียบเรือประมงสงขลา 2 (ท่าสะอ้าน) ระยะทางกว้าง 300 เมตร ยาว 5,000 เมตร ออกจากบริเวณดังกล่าว นับแต่วันที่ปิดคำสั่ง 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ระบุชัดเจนหากไม่มีการรื้อถอน เครื่องมือประมงประเภทโพงพางและหรือเครื่องพันธนาการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ภายในกำหนดระยะเวลาตั้งกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมาย แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดเข้ารื้อถอนแม้ว่าจะรับทราบข้อมูลตามประกาศแล้ว
ทางสำนักงานประมงจังหวัดสงขลา จึงได้ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหา (แผนระยะเร่งด่วน) 7 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ในพื้นที่ผ่านตัวแทนชาวประมงโพงพาง และผู้นำทางศาสนา ขั้นตอนที่ 2 จัดทำแนวเขตพื้นที่ร่องน้ำ โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาสงขลา ได้จัดทำแผนที่ร่องน้ำทะเลสาบสงขลา พร้อมทั้งระบุตำแหน่งพิกัด และจำนวนเครื่องมือประมงโพงพางที่กีดขวางร่องน้ำ มีทั้งหมดจำนวน 13 แถว 159 ช่อง (ได้รับงบประมาณปี พ.ศ. 2568) ขั้นตอนที่ 3 สำรวจและจัดทำบัญชีรายชื่อเจ้าของเครื่องมือประมงโพงพางในร่องน้ำเดินเรือ ตั้งแต่บริเวณหัวพญานาคจนถึงท่าเทียบเรือประมงสงขลา 2 (ท่าสะอ้าน) ซึ่งคณะทำงานแก้ไขปัญหาฯ ได้ร่วมบูรณาการลงเรือสำรวจและจัดทำบัญชีรายชื่อเจ้าของเครื่องมือประมงโพงพาง ในบริเวณร่องน้ำทะเลสาบสงขลา พิกัดของโพงพางเสร็จเรียบร้อยแล้ว รวม 13 แถว 159 ช่อง
ขั้นตอนที่ 4 สร้างการรับรู้และความเข้าใจ รับฟังความคิดเห็นของชาวประมงโพงพาง คณะทำงานแก้ไขปัญหาฯ ร่วมกับอำเภอสิงหนคร จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้จัดทำแบบสอบถามเสนอให้ผู้ประกอบการโพงพางปรับเปลี่ยนอาชีพจากการทำการประมงโพงพางเป็นอาชีพอื่นแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ อีกทั้งผู้ประกอบการโพงพางมีข้อเสนอเรียกร้องให้รัฐจ่ายเงินเยียวยาจากการเลิกทำการประมงโพงพางจำนวนช่องละ 500,000 บาท หากรัฐยินยอมจ่ายเงินตามจำนวนดังกล่าวผู้ประกอบการโพงพางจะยินยอมรื้อถอนเครื่องมือประมงโพงพาง ขั้นตอนที่ 5 การรื้อถอนเครื่องมือประมงโพงพางอย่างมีส่วนร่วม และการให้ผู้มีส่วนได้เสียร่วมกันในการแก้ไขปัญหา โดยสำนักงานประมงจังหวัดสงขลาได้มีคำสั่งที่ 16/2567 เรื่อง ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างลงในที่จับสัตว์น้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 กำหนดให้รื้อถอนโพงพางเฉพาะแนวพื้นที่ร่องน้ำจำนวน 13 แถว 159 ช่อง ตามประกาศสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสงขลา ที่ 2/2567 เรื่อง แนวเขตร่องน้ำการเดินเรือเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ ผลปรากฏว่าชาวประมงผู้ใช้เครื่องมือโพงพางไม่ให้ความร่วมมือ ต่อมาได้มีผู้แทนชาวประมงผู้ใช้เครื่องมือประมงโพงพางเข้าปรึกษาหารือกับประธานที่ปรึกษาคณะทำงานแก้ไขปัญหาการใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย เพื่อให้ส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องประชุมปรึกษาหาทางออกโดยไม่ให้เกิดความขัดแย้ง โดยขอให้คณะทำงานแก้ไขปัญหาการใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมายชะลอการรื้อถอนออกไปก่อนขั้นตอนที่ 6 ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (ตามความจำเป็น) ได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560 มาตรา 67 (1) นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา, สภ.สิงหนคร เพื่อดำเนินคดีกับผู้ใช้เครื่องมือโพงพาง และขั้นตอนที่ 7 การควบคุม เฝ้าระวัง กำกับดูแล หลังการรื้อถอนเครื่องมือประมงโพงพาง (จะดำเนินการต่อเนื่องหลังจากมีการรื้อถอนเครื่องมือประมงโพงพางแล้ว) จะเห็นได้ว่าการเปิดปฏิบัติการรื้อถอนโพงพางในครั้งนี้ จังหวัดสงขลาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เนื่องจากก่อนหน้าทางราชการการได้ดำเนินการสร้างการรับรู้ ประชุมชี้แจง ด้วยนโยบายผ่อนปรนมาโดยตลอด และหากพิจารณาตามแผนการแก้ไขปัญหา (แผนระยะเร่งด่วน) 7 ขั้นตอน จะเห็นว่าการเปิดปฏิบัติการครั้งนี้อยู่ในขั้นตอนที่ 6 ของการดำเนินงาน ย้ำว่าจังหวัดสงขลา มีความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหาประมงโพงพางผิดกฎหมายในทะเลสาบสงขลา อยากให้ชาวประมงเข้าใจและยอมรับเพราะกฎหมาย คือระเบียบ คือกติกาของการอยู่ร่วมกันในสังคม สำคัญที่สุดคืออยากให้พี่น้องชาวประมงในพื้นที่เข้าใจผลกระทบต่อระบบนิเวศที่เกิดจากการใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย รวมถึงผลกระทบด้านการคมนาคมขนส่งทางน้ำ ความกังวลด้านความปลอดภัย ที่ทำให้จังหวัดและประเทศเสียผลประโยชน์ทางการค้า
ส่วนข้อเสนอที่ชาวประมงเรียกร้องให้รัฐจ่ายเงินเยียวยาจากการเลิกทำการประมงโพงพาง จำนวนช่องละ 500,000 บาทนั้น จังหวัดยังคงยืนยันด้วยเหตุผลเดิมว่า เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากประมงโพงพางเป็นการกระทำผิดฝ่าฝืนกฎหมาย ส่วนที่ชาวบ้านกล่าวหาว่าภาครัฐทำเกินกว่าเหตุคงไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าหากเจ้าของโพงพางไม่ดำเนินการตามประกาศของสำนักงานประมงจังหวัดสงขลา ทางจังหวัดจำเป็นต้องยกระดับความเข้มข้นด้วยการบังคับใช้กฎหมาย โดยไม่เลือกปฏิบัติเพราะทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน อันจะนำมาสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน