เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ณ งานศพที่อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา ภาพที่สร้างความสะเทือนใจและศรัทธาเกิดขึ้นเมื่อผู้ต้องขังคดียาเสพติดรายหนึ่งซึ่งถูกควบคุมตัวจากเรือนจำกลางยะลา ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการ อ่านยาซีน หน้าศพของมารดาผู้ล่วงลับ
การกระทำนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่พิธีกรรมตามประเพณี แต่เป็นไปตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามที่ระบุให้การอ่านยาซีนเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของลูกที่มีต่อพ่อแม่ในพิธีศพ โดยมีความเชื่อว่า บทสวดอันศักดิ์สิทธิ์นี้คือการแสดงออกถึงความรัก ความอาลัย และการวิงวอนขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าให้ดวงวิญญาณของผู้เป็นแม่ได้พบกับความสงบสุขและได้รับความเมตตา
นายธวัช เอียดทิม ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสงขลา รักษาราชการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางยะลา ได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ผู้ต้องขังรายนี้ได้ออกมานอกเรือนจำเพื่อทำหน้าที่ลูก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายกับการคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมและศาสนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
การที่ชายผู้สวมชุดนักโทษได้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ ในการสวดมนต์เพื่อส่งดวงวิญญาณของมารดา ถือเป็นการทำหน้าที่ของลูกผู้ศรัทธาที่บริบูรณ์อย่างแท้จริง และเป็นภาพสะท้อนว่า แม้จะมีขีดจำกัดทางกฎหมาย แต่ความรู้สึกของลูกที่มีต่อแม่นั้นไร้พรมแดนใดๆ ที่จะกั้นได้
ความเศร้าที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียในสภาพที่ไม่มีอิสรภาพ เรื่องราวนี้จึงไม่ใช่แค่การอนุญาตจากเรือนจำ แต่เป็นการมอบโอกาสให้หัวใจของลูกคนหนึ่งได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกกักขังไว้ให้ได้บอกลาแม่ผู้เป็นที่รักอย่างแท้จริง
ตาม มาตรา 57 ของ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ 2560 ที่ระบุว่าผู้ต้องขังมีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อขออนุญาตออกไปร่วมงานศพของบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรได้ แต่การอนุญาตนั้นขึ้นอยู่กับ “ดุลพินิจของผู้บัญชาการเรือนจำ” โดยต้องพิจารณาจากปัจจัยด้านความมั่นคง พฤติกรรมของผู้ต้องขัง และความจำเป็น
แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้มีการพิจารณา แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจเช่นนี้ในพื้นที่พิเศษอย่างจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีปัจจัยด้านความมั่นคงเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมต้องอาศัยการประเมินที่รอบคอบและเป็นไปอย่างโปร่งใส เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ การตัดสินใจของนายธวัช เอียดทิม ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสงขลา รักษาราชการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางยะลา จึงเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องสร้างสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับการคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมในเวลาเดียวกัน