จากภัยเงียบสู่ภารกิจ “โค่นต้นกระท่อม” พุดพลังสังคมร่วมภาครัฐ

ปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังถูกยกระดับเป็นวาระเร่งด่วนอีกครั้ง หลังจากที่ถูกมองว่าเป็นภัยเงียบที่กัดกินชุมชนมาอย่างยาวนานหลังจาก กระท่อมเสรี จนประชาชนเริ่มคุ้นชินและมองว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่เมื่อผลกระทบเริ่มรุนแรงขึ้นถึงขั้นทำลายครอบครัวและอนาคตของเยาวชน ภาครัฐจึงจำเป็นต้องหันมาทบทวนและปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะ พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้สั่งการและมอบหมายให้ นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง กสม. ลงพื้นที่ขังเคลื่อนงานบูรณาการพร้อมกับทุกภาคส่วน จนเกิดพลังสังคม แบบทุกพื้นที่ พร้อมใจกันปฏิเสธกระท่อมเสรี และหวังให้มีการ นำกระท่อม กลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดเช่นเดิม

นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง (กสม.) ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) สะท้อนอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหายาเสพติดนั้น “ทำลายทุกอย่าง ทำลายลูกหลาน ทำลายครอบครัว ทำลายคนที่เรารัก” ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายเชิงรุกที่ชื่อว่า “120 วันโค่นต้นกระท่อม” ซึ่งมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหานี้โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนใต้
จาก นโยบาย “120 วันโค่นต้นกระท่อม” สู่การปฏิบัติ การ “kick off” หรือการขับเคลื่อนอย่างจริงจังในพื้นที่ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าภาครัฐตระหนักถึงความเร่งด่วนของปัญหา
อย่างไรก็ตาม นายธีรวิทย์ฯ ได้ยอมรับอย่างน่าสนใจว่า “ความสำเร็จที่ผ่านมา เรียนว่ารัฐเองได้พยายามทำมาตลอด แต่ว่าความสำเร็จมันเป็นระดับหนึ่งเท่านั้นเอง” ซึ่งคำกล่าวนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้น
นายธีรวิทย์ฯ ชี้ให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เรื้อรังจำเป็นต้องอาศัยกลไกที่นอกเหนือจากการทำงานของภาครัฐเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับบทเรียนจากอดีตที่การใช้มาตรการทางกฎหมายหรือการบังคับใช้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ดังนั้น การขับเคลื่อนนโยบาย “120 วัน เห็นภาพของการโค่นทำลาย ต้นกระท่อม ร้านค้าตามถนนสายหลัก และสายรองบางส่วนเริ่มขยับ และ หลายพื้นที่ไม่มีการวางจำหน่าย อีกทั้งหลายชุมชนออกมาแสดงจุดยืนประกาศ ชัดว่า ชุมชนปลอดกระท่อม 100 เปอร์เซ็น” การปฏิบัติการของ ศอ.บต.ในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้าง “พลังสังคม” หรือการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้ชาวบ้านรู้สึกเป็นเจ้าของปัญหาและมีส่วนร่วมในการปกป้องลูกหลานและชุมชนของตนเองอย่างแท้จริง
ซึ่งหากการบูรณาการระหว่างภาครัฐและประชาชนนี้ประสบความสำเร็จ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการคลี่คลายปัญหายาเสพติดในพื้นที่ชายแดนใต้ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต