จากกรณีที่ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เตรียมจัด “บิ๊กอีเวนต์กระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนใต้” ใน 5 จังหวัด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานีที่มีกำหนดจัดกิจกรรมขึ้นในวันที่ 26 กันยายน 2568 ณ สนามออมทอง อำเภอเมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ยังถูกมองว่าเป็นการเชื่อมโยงกับสถานที่สำคัญในพื้นที่ โดยเฉพาะ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นหนึ่งในมัสยิดที่สวยที่สุดในประเทศไทย และได้รับการขนานนามว่าเป็น “ทัชมาฮาลเมืองไทย”
มัสยิดกลางแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ในตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 ตัวอาคารโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสีครีม ส้มอ่อน และเหลือง พร้อมด้วยยอดโดมขนาดเล็กที่ล้อมรอบโดมใหญ่ และหออาซาน 2 หอที่ขนาบข้าง
จุดเด่นสำคัญของมัสยิดคือการจัดวางผังที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ทัชมาฮาลของประเทศอินเดีย โดยมีการจัดสวนและปลูกต้นปาล์มอย่างเป็นระเบียบตั้งแต่บริเวณทางเข้าจรดอาคาร ส่วนภายในตกแต่งด้วยหินอ่อนอย่างงดงาม สะท้อนถึงความมีมนต์ขลังและศิลปะอิสลามอันวิจิตร
ความงดงามเหล่านี้ทำให้มัสยิดกลางปัตตานีกลายเป็น แม่เหล็กสำคัญ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เดินทางมาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสายตลอดทั้งปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของพื้นที่ชายแดนภาคใต้ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนาที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
นอกจากหากได้มาย่านนี้ นอกจากจะได้สัมผัสกับความสวยงามของสถาปัตยกรรมแล้ว ยังจะได้สัมผัสกับเสน่ห์และเอกลักษณ์ของพื้นที่อีกหลายอย่าง เพราะ มัสยิดแห่งนี้ไม่ได้เป็นแค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในพื้นที่ ที่นี่คุณจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน กิจกรรมทางศาสนา และความสงบที่หาไม่ได้ง่าย ๆ
รอบ ๆ มัสยิดกลางเป็นย่านเศรษฐกิจที่คึกคัก จะได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมืองปัตตานีที่หลากหลาย เช่น ข้าวหมกไก่, แกงกะหรี่, หรือขนมท้องถิ่นรสชาติดี และยังมีร้านค้าที่ขายสินค้าพื้นบ้าน สินค้าโอทอปให้เลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย
การมาเยือนย่านนี้จะทำให้ได้เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ได้น่ากลัว แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ผู้คนมีรอยยิ้ม และใช้ชีวิตกันตามปกติ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ช่วยลบภาพจำเดิม ๆ และจะทำให้เข้าใจเสน่ห์ของปัตตานีมากขึ้นอีกด้วย