การเคลื่อนไหวภาคประชาชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังร้อนระอุ! ล่าสุด ที่สนามหญ้าเทียมเทศบาลตำบลบาลอ อ.รามัน จ.ยะลา ประชาชนกว่า 500 ชีวิต ได้รวมพลังประกาศ ปฏิญานตน “ปฏิเสธกระท่อมเสรี” เพื่อส่งสัญญาณเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณา ทบทวนนโยบาย และเดินหน้า นำกระท่อมกลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง ตามที่เคยมีการผลักดันในวาระ “นโยบาย 120 วัน วาระพืชกระท่อม”
การรวมตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในกิจกรรม “เสวนาบทบาทผู้นำและเยาวชนต่อการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาพืชกระท่อมในพื้นที่” ซึ่งจัดขึ้นโดยมี นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธาน โดยมี นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมฯ (กสม.) พร้อมด้วยผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา ผู้นำสตรี และเยาวชนเข้าร่วมอย่างคึกคัก
เสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า แม้ พืชกระท่อม จะมีสถานะเป็นพืชพื้นบ้าน แต่เมื่อมีการนำไปใช้ในทางที่ผิดอย่างกว้างขวาง ก็ได้กลายเป็น “ภัยเงียบ” ที่คุกคามอนาคตของเยาวชนและสร้างปัญหาสังคมอย่างหนัก
ชาวบ้านยืนยันว่า การแก้ไขปัญหานี้จะสำเร็จได้ ไม่สามารถพึ่งพาแค่ฝ่ายความมั่นคงหรือหน่วยงานรัฐเท่านั้น แต่ต้องอาศัย “พลังของผู้นำชุมชน ครอบครัว และเยาวชน” ร่วมมือกัน โดยมีมุมมองที่ชัดเจนว่า “ถ้าเราเปลี่ยนความคิดเยาวชนได้ ก็จะเปลี่ยนอนาคตของชุมชนได้เช่นกัน”
ขณะที่การเสวนาเพื่อหาทางออกปัญหากระท่อมในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา ดำเนินไปอย่างเข้มข้น เสียงสะท้อนจากชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงได้สร้างความสะเทือนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องเล่าของ ยายวัย 60 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับ “ภัยเงียบ” จากกระท่อมเสรีภายในครอบครัวของตนเอง
ยายวัย 60 ปี ซึ่งเป็น แม่เลี้ยงเดี่ยว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าว่า ตนมีลูกทั้งหมด 4 คน โดยเป็นคนดีและประกอบอาชีพสุจริต 2 คน แต่มีลูกอีก 2 คนที่ติดน้ำกระท่อม อย่างหนัก
“ทุกๆ วัน พวกเขาสองคนนี้ จะขอเงิน วันละ 20 บาท เพื่อเอาไปซื้อน้ำกระท่อม” ยายกล่าว พร้อมเผยถึงความลำบากในชีวิตประจำวันว่า “ตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่ค่อยมีเงิน แต่พวกเขาจะขอเงินแบบนี้ทุกๆ วัน รายได้ ของตนในทุกๆ วันก็มาจาก การ ขายขนมโบราณ วันละไม่กี่บาท ต้องมาเจอปัญหานี้ รู้สึกไม่ไหวแล้ว”
ยายวัย 60 ปี จึงได้วอนขอความเห็นใจและเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด เพื่อหยุดยั้งการทำลายอนาคตของเยาวชนและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เป็นแม่และครอบครัวในชุมชน.
ด้านการขับเคลื่อนของภาครัฐในพื้นที่ นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ รองเลขาธิการ ศอ.บต. ได้เปิดเผยถึงที่มาและความสำคัญของการทำงานครั้งนี้ โดยย้ำว่า เลขาธิการ ศอ.บต. (พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรัตน์) ได้รับมอบหมายภารกิจโดยตรงจากผู้นำศาสนาสูงสุด
“ต้องเรียนว่า ท่านได้รับการมอบหมายเรื่องยาเสพติด มาตั้งแต่ระดับสูงสุดของผู้นำศาสนา ก็คือ ท่าน จุฬาราชมนตรี และได้รับความคาดหวัง จากผู้นำศาสนาของพวกเราทั้งหมดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้…ว่าปัญหายาเสพติดนี่คือ ปัญหาใหญ่ ของพื้นที่ อยากให้ ศอ.บต. เข้ามาเป็นเจ้าภาพ เป็นโซ่ข้อกลาง เป็นแกนกลาง…เพื่อ รวมพลังทุกภาคส่วน มาช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ ให้สำเร็จให้ได้” นายนันทพงศ์กล่าว
นายนันทพงศ์ยังได้เน้นย้ำถึงบทบาทของ ศอ.บต. ในการ “รวมพลังภาครัฐทั้งหมด” อย่างเข้มแข็งและเข้มข้น เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา โดยแบ่งภารกิจออกเป็น 5 มิติหลัก งานป้องกันและสร้างความตระหนัก เด็กและเยาวชน ในโรงเรียนต้องได้รับการสอนสั่งเรื่องพิษภัยยาเสพติด
สร้างภูมิคุ้มกันในชุมชน ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น และ ผู้นำสตรี/แม่บ้าน ต้องร่วมกันสื่อสารให้เห็นถึงพิษภัยเพื่อปกป้องลูกหลาน การบังคับใช้กฎหมาย ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ดูแลผู้ทำผิดกฎหมาย ขณะที่ ศาลและราชทัณฑ์ ดำเนินการลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม การบำบัดฟื้นฟู หน่วยงานด้านสาธารณสุข ดูแลลูกหลานที่ตกเป็นเหยื่อ ทั้งอาการปกติและผู้ที่มีอาการทาง จิตเวช และ การสร้างชีวิตใหม่ ผู้ผ่านการบำบัดต้องได้รับ โอกาสทางอาชีพและรายได้ ผ่านการพัฒนาอาชีพที่หลากหลาย
“อันนี้คือบทบาทของหน่วยงานที่เราทำอยู่แล้ว แต่ต้อง เข้มแข็งและเข้มข้นมากขึ้น…อันนี้ผมเรียนว่าคือการรวมพลังส่วนที่หนึ่ง ที่เราเรียกว่า หน่วยงานภาครัฐ” รองเลขาธิการ ศอ.บต. สรุป
การประกาศความมุ่งมั่นของ ศอ.บต. ในการเป็น “แกนกลาง” ประสานงานตามความคาดหวังของผู้นำศาสนาสูงสุด ควบคู่ไปกับการรวมพลังปฏิญานของชาวบ้านกว่า 500 ชีวิตครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาพืชกระท่อมที่ถูกใช้ในทางที่ผิดได้กลายเป็น “วาระหลักของพื้นที่” ที่จำเป็นต้องได้รับการทบทวนและแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากทุกระดับ