วันที่ 30 กันยายน 2568 คือวันสิ้นสุด การขับเคลื่อน “นโยบาย 120 วัน วาระพืชกระท่อม” ผู้สื่อข่าวประมวลผลการทำงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่านโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลได้สร้าง “พลังร่วม” ในสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีจุดแข็งคือโมเดลฟื้นฟูผู้เสพ แต่ยังคงเผชิญความท้าทายด้านความต่อเนื่องและช่องโหว่ทางกฎหมาย พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. ยืนยันว่า การแก้ไขปัญหานี้จะ “ขยับต่อแน่นอน” และไม่ใช่เพียงแค่นโยบาย แต่คือ “สิ่งที่ต้องทำ” และ ชี้ว่า ปัญหาพืชกระท่อมและยาเสพติดอยู่ใน “ระดับฐานราก” และ “ครัวเรือน” หากบ้านใดมีคนติดยาเสพติด จะสูญเสียคนที่ทำมาหากินไป 1 คน แต่ “ถ้าคนนี้กลับมาทำงานได้ นั่นหมายถึงว่าครอบครัวนี้ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น อันนี้บวก ลบ คูณ หาร แล้วมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน” ท่านเชื่อว่าหากแก้ปัญหากระท่อมได้ ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ จะ “คลี่คลายตามมาได้ง่าย” และยังย้ำด้วยว่า เมื่อประชาชนเห็นความสำคัญและมี “เสียงเรียกร้องที่มีพลังมาก” ภาครัฐก็ “คงทำนิ่งเฉยไม่ได้” และยังคงยึดแนวทาง “หน้าใหม่ต้องไม่ให้เข้า” รณรงค์เยาวชนด้วยกิจกรรมที่เขาชอบ และ “หน้าเก่าต้องไม่ให้กลับ” เป็นการฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้พลั้งพลาด
ในวันสุดท้ายของการขับเคลื่อน ศอ.บต. ได้จัดกิจกรรม “I CAN, I WILL” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ โดยใช้มิติใหม่ในการสื่อสารกับเยาวชน ดึง “เก้า จิรายุ” สื่อสารตรง: ดร.นพ.สมหมาย บุญเกลี้ยง ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ระบุว่า กิจกรรมนี้ผสมผสานความรู้และความบันเทิงในรูปแบบ Talk Edutainment และ Stand-up Comedy Show โดยดึงนักแสดงชื่อดัง “เก้า-จิรายุ ละอองมณี” มาร่วมพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อตอกย้ำประเด็น “กระท่อมไม่ใช่ทางออก แต่เป็นทางแยก” ของชีวิต
120 วันที่ผ่านมา ศอ.บต. ได้เปิดทางให้เกิด “ศูนย์พักคอยผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด (CI)” ที่ ต.บ่อทอง จ.ปัตตานี และ อ.รามัน จ.ยะลา อส. นายหมู่ใหญ่รัตภูมิ เฒ่าจันทร์ดี หัวหน้าชุดครูฝึก ยืนยันว่า เยาวชน 50 คนที่ศูนย์พักคอยปัตตานี “ผลลัพธ์ของโครงการเกิดขึ้นรวดเร็วเกินคาด ทุกคนตั้งใจมาที่จะเลิกยา” พ่อแม่กว่าครึ่งร้อย รอรับลูกกลับบ้านและอีกส่วนหนึ่งขอไม่กลับเพราะกลัวกลับไปหวนติดซ้ำ จึงขออยู่ต่อ เพราะพวกเขาต้องการเลิกยาจริงๆ
นางกรรณิการ์ ลำพรหมสุข หัวหน้า ศอ.ปส.จ.ปัตตานี เผยปัญหาใหญ่คือ ผู้ปกครองไม่กล้ารับลูกกลับ เพราะ “ชุมชนยังมีการระบาดของยาเสพติดอยู่” และศูนย์ฯ ติดปัญหาด้านงบประมาณ ที่มีถึงแค่วันสิ้นสุดโครงการ
นอกจากนี้ยังมี ประชาชนกว่า 500 ชีวิต ที่ อ.รามัน จ.ยะลา ได้รวมพลังประกาศ ปฏิญานตน “ปฏิเสธกระท่อมเสรี” โดยมีเสียงสะท้อนจาก ยายวัย 60 ปี แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ลูกติดน้ำกระท่อม ขอเงินวันละ 20 บาท เรียกร้องให้รัฐบาล นำกระท่อมกลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง อีกทั้ง เยาวชนผู้ติดยาในพื้นที่ยังประกาศด้วยว่า 90 เปอร์ของเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องการเลิกยา แต่ ปัญหาคือ ในพื้นที่ ยาเสพติดมีจำนวนมาก ในพื้นที่ยังมีคนขาย หาซื้อง่ายยิ่งกว่าลูกอบ จึงทำให้พวกเขาเลิกยาก สำหรับ กำนันตำบลวังพญา อ.รามัน และผู้ใหญ่บ้าน ได้นำทีม ติดตั้งป้าย “ไม่เอาพืชกระท่อม” และตัดโค่นต้นกระท่อม พร้อมยืนยันว่านี่คือการสร้างการตระหนักรู้ ที่มั่นคง ควบคู่ไปกับการปราบปราม ให้ประชาชน ในพื้นที่
เจ้าหน้าที่ ด่านตรวจเกาะหม้อแกง เผยว่า การขนส่งใบกระท่อมบรรทุกจำนวนมากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา “เกือบจะเป็นศูนย์” แต่ ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ คงแก้ว เตือนว่า ผู้ค้าอาจเปลี่ยนเป็นการ “ลักลอบการขนส่ง” เพื่อเลี่ยงกฎหมาย
ในส่วนของปัญหาความมั่นคง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สายบุรี ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ ระเบิดจักรยาน ในอดีต ซึ่งต้องใช้เงินทุนมหาศาลของผู้ก่อเหตุ แม้จะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ายาเสพติดถูกนำไปเป็นทุนสนับสนุนโดยตรง แต่จากประสบการณ์ในอดีต พบว่ามีบางกรณีที่กลุ่มผู้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงกับยาเสพติด โดยมีการจับกุมนักเลงที่ถูกส่งไปซื้อยาบ้าในพื้นที่รามัน เราไปพบว่า เปเล่ดำอยู่ในบ้านเป้าหมายด้วย ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการติดตามปัญหายาเสพติดกับความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความไม่สงบอย่างจริงจัง จนสามารถวิสามัญ เปเล่ดำ ในเวลาต่อมาที่มัน เมื่อปี 2556 แต่ไม่ยืนยันว่าเกี่ยวข้องยังไงแต่เราพบเพียงแต่ เขาไปหลบซ่อนตัวในบ้านของกลุ่มค้ายาเสพติดตามเป้าหมาย
ล่าสุด ศอ.บต. ได้เดินหน้าประสานงานที่ด่านตรวจเพื่อเตรียมบังคับใช้ประกาศ ห้ามขายกระท่อมในรัศมี 1,000 เมตรจากสถานศึกษา (มีผล 12 ต.ค. 68) ซึ่งเจ้าหน้าที่ด่านตรวจเกาะหม้อแกงเผยว่า การขนส่งกระท่อมลดลงเกือบเป็นศูนย์ แต่ผู้ค้าอาจเปลี่ยนเป็น “ลักลอบการขนส่ง”
นายธีรวิทย์สรุปว่า นโยบายนี้ได้สร้าง “พลังของภาคประชาชน ภาคประชาสังคม” และกลไกภาครัฐมีความตระหนักอย่างจริงจังแล้ว โดยความท้าทายต่อไปคือการสร้างความต่อเนื่องในการ ฟื้นฟูและส่งเสริมโอกาสทางอาชีพ ให้แก่ผู้ผ่านการบำบัดอย่างยั่งยืน