สภ.เมืองปัตตานี จับมือตำรวจท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว และดีเอสไอ อำนวยความสะดวกแก่พี่น้องมุสลิมที่จะไปทำอุมเราะฮฺ ถูกลอยแพกลางสนามบินหาดใหญ่ รวมตัวมาแจ้งความ ณ สภ.เมืองปัตตานีชุดแรกจำนวน 41 รายจากผู้เสียหายกว่า 170 คน มูลค่าความเสียหาย 10 กว่าล้านบาท

จากกรณีเกิดความวุ่นวาย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา สืบเนื่องจากผู้เดินทางไปแสวงบุญอุมเราะฮฺ จำนวนกว่า 170 คน ที่เตรียมออกเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะฮฺ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยทุกคนที่จะเดินทางและญาติพี่น้องที่มาส่ง ต่างพากันรอเพื่อเตรียมตัวกันขึ้นเครื่องเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อขึ้นเครื่องต่อไปยังประเทศซาอุดิอารเบีย แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทาง ปรากกว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวมาแสดงตัว ทุกคนได้พยายามติดต่อบริษัทแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งทางบริษัทได้ส่งข้อความทางไลน์กลุ่มของผู้ที่จะเดินทางว่า “ไม่สามารถเดินทางได้” ทำให้ทุกคนรู้ทันทีว่า ถูกหลอก ทุกคนที่คาดหวังว่าจะเดินทางไปอุมเราะฮฺต่างผิดหวังและร้องไห้ รวมไปถึงญาติ ๆ ที่มาส่งกัน ต่างได้รับความเสียใจอย่างมาก เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตของมุสลิมจะเก็บเงินไปแสวงบุญด้วยการไปอุมเราะฮฺหรือฮัจย์
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 14 ต.ค. เวลา 13.30 น. กลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 41 คน ทั้งจากจังหวัดปัตตานี นราธิวาส และสงขลา ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนส ณ สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับบริษัทผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว โดยมี พ.ต.ท.วินิตร อินสุวรรณ. รอง ผกก.สืบสวน สภ.เมืองปัตตานี, พ.ต.ท.ศักดิ์อนันต์ คำไสย รอง ผกก.ทท.หาดใหญ่ และ พ.ต.ท.ณัฐวรรธน์ สงคง สว.ทท.นราธิวาส รวมถึงเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ จชต. โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันจะรวบรวมหลักฐาน เพื่อเอาคนผิดมาดำเนินคดี โดยความเสียหายเบื้องต้น ร่วม 10 กว่าล้านบาท
โดยบริษัทดังกล่าวมีชื่อว่า รุส ฮัจญ์ แอนด์ ทราเวล ที่ทำการ ณ ถนนเจริญประดิษฐ์ สายม.อ.ปัตตานี ผู้เสียหายแต่ละรายระบุว่า ได้จ่ายเงินค่าทัวร์ไปแล้ว รายละ 60,000 -100,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินเก็บทั้งชีวิตเพื่อไปแสวงบุญ แต่กลับถูกลอยแพโดยบริษัทนี้ ล่าสุดมีรายงานว่าเจ้าของบริษัทหายตัวไปอย่างเงียบ และหลังจากเหตุการณ์ 1 วัน ทางบริษัทได้โพสแถลงการณ์แสดงคำขอโทษ จะพยายามหาเงินมาจ่ายคืนแก่ผู้เสียหายภายใน 5 เดือน และไม่มีการติดต่อมาอีกเลย เบื้องต้นมีผู้เสียหายจำนวน 170 ราย
นางกุลยา เจะเลาะ ชาวจ.ปัตตานี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตั้งใจเดินทางไปกับสามี จ่ายเงินไปทั้งสิ้นจำนวน 160,000 บาท โอนไปภายใน 3 เดือน 65,000 บาท และคืนก่อนเดินทางที่รุสฮัจย์ขอให้โอนเพิ่มอีก 15,000 บาท
“เขาบอกในกลุ่มไลน์ว่าขอให้โอนเงินเพิ่มอีกคนละ 15,000 บาทเพื่อจ่ายค่าวีซ่า ค่าตั๋วภายในประเทศและค่าที่พัก ถามว่าทำไมต้องขอมาอีกเขาบอกจะไปขออธิบายในดินแดนของอัลลอฮฺ เราก็โอนเพราะตั้งใจไปจริงๆ ไปรออยู่ที่สนามบินตั้งแต่ 7 โมงเช้า ด้วยความหวังว่าจะได้เดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ รอแล้วรออีก ก็เริ่มรู้ชะตากรรมว่าคงไม่ได้ไปต่อ ด้วยความอยากไป จึงลองไปตรวจสอบตั๋วที่สนามบิน ปรากฏว่าไม่มีตั๋ว ไม่มีวิซ่า ทำให้รู้สึกไม่ดี แต่ก็ยังคงยืนรอต่อไป
ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาร่วมเดินทางก็น่าสงสารมาก โดยเฉพาะเมาะ (คนแก่) บางคนที่เดินทางมาไกล มาตั้งแต่ตี 2 มานั่งรอจนฟ้าสว่าง สุดท้ายก็ไม่ได้ไป และไม่มีใครจากบริษัทออกมาดำเนินการหรือชี้แจง ทำให้ทุกคนเสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ ตาแดงกันไปหมด”
กุลยาบอกว่า เงินหามาใหม่ได้ แต่ความรู้สึกเสียไปแล้ว เพราะตนตั้งใจอย่างมากที่จะไปทำอุมเราะห์ กว่าจะได้ลางานไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งแพกเกจนี้ได้ชำระเงินล่วงหน้าไปกว่า 3 เดือน แต่สุดท้ายบริษัทกลับทำด้วยวิธีแบบนี้ ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อเจอปัญหาเดียวกัน ทุกคนต่างพากันกอดท่ามกลางน้ำตา
“เขาออกมาแถลงการณ์ขอโทษเมื่อวาน ทำไมไม่บอกในกลุ่มไลน์กันก่อน ให้มารอกันตั้งแต่เช้า กลับจากหาดใหญ่ก็มาแจ้งความที่สภ.เมืองปัตตานีเป็นรายแรกเมื่อวาน อยากให้เขารู้ว่าห้ามทำแบบนี้กับคนอื่นอีก สงสาร ทำลายความตั้งใจของคนที่ตั้งใจไปทำอุมเราะห์ ให้ออกมารับผิดชอบ และมีเวลาชัดเจนในการจ่ายเงินคืน” กุลยาบอกเล่าความรู้สึกด้วยน้ำตา
ด้าน นางรอดีย๊ะ อาแว ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า จริง ๆ แล้วกลุ่มของตนมีกำหนดเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยก่อนเดินทางหนึ่งวัน ได้มีการพูดคุยกันในกลุ่มไลน์เกี่ยวกับรายละเอียดการเดินทาง แต่ปรากฏว่าไม่มีคำตอบชัดเจนจากทางบริษัท ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจและสงสัยว่าทำไมบริษัทไม่แจ้งข้อมูล หรือกำหนดเวลาเดินทางให้แน่ชัด
ต่อมาทางบริษัทได้แจ้งเพิ่มเติมว่า ไม่สามารถเดินทางได้ เนื่องจาก แพ็กเกจที่ทุกคนซื้อไปไม่พอจ่าย และขอให้ผู้เดินทางทุกคนโอนเงินเพิ่มคนละ 15,000 บาท โดยยืนยันว่าหากชำระเพิ่มแล้วจะสามารถเดินทางได้แน่นอน ด้วยความตั้งใจและศรัทธาที่อยากไปประกอบพิธี ทุกคนจึงยอมโอนเงินไปตามที่บริษัทแจ้ง แต่สุดท้าย บริษัทกลับเงียบหายไป และปิดช่องทางการสื่อสารทั้งหมด ไม่สามารถติดต่อได้อีก
“ทุกคนเสียใจมาก คืนนั้นไม่มีใครได้นอนเลย รู้สึกจุกในใจมาก เพราะตั้งใจจะพาแม่ ๆ ป้า ๆ ไปทำอุมเราะฮฺ แต่สุดท้ายกลับต้องเห็นพวกเขาร้องไห้กันหมด ขอความยุติธรรมให้พวกเราด้วย”
พ.ต.ท.วินิตร อินสุวรรณ. รอง ผกก.สืบสวน สภ.เมืองปัตตานี เปิดเผยว่า วันนี้มีผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความราว 41 ราย และยังมีผู้เสียหายอื่นๆ อีกที่กำลังจะเข้ามาแจ้งความเพิ่ม โดยส่วนใหญ่ผู้เสียหายได้มีการโอนเงินไป และบางรายก็จ่ายเงินสด 80,000-90,000 บาท บางรายจ่ายถึง 100,000บาท
โดยทางเจ้าหน้าที่ได้แนะนำผู้เสียหายให้รวบรวมหลักฐานทั้งสลิปการโอน แชทสนทนา กำหนดการเดินทาง หรือเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อนำมาประกอบพยานหลักฐานมาดำเนินคดีต่อไป ซึ่งหากมีเจ้าทุกข์มาแจ้งความกว่า 100 รายทางดีเอสไอก็จะรับเป็นคดีพิเศษ