เวลา 13.30 น.วันที่ 28 ส.ค.57 ที่ด่านศุลกากร อ.เชียงของ จ.เชียงราย นายศรชัย สร้อยหงษ์พราย นายด่านศุลกากรเชียงของ น.อ.ภานุ รัตนนันทวาที ผบ.นรข.เขตเชียงราย พ.อ. วัชรพงษ์ แก้วแจ้ง ผบ.ทพ.31 พ.ต.อ.ถนอมศักดิ์ ยศแผ่น ผกก.เชียงของ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นางสอนนาลี แก้วมุกดา อายุ 22 ปี และ นางหล้าน้อย เจริญผล อายุ 20 ปี สองผู้ต้องหา ชาวโพนทอง เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 10.9 ล้านบาท
ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้ทาง ทางเจ้าหน้าที่ได้พบผู้ต้องหาทั้งคู่ได้ถือบัตรผ่านแดนของ สปป.ลาว เลขที่ 1516/14 แขวงบ่อแก้ว และนางหล้าน้อย ได้ถือหนังสือผ่อนผันผู้ป่วยให้เข้ามาราชอาณาจักรไทยเล่มที่ 085 เลขที่ 367 ลงวันที่ 27 ส.ค. เพื่อข้ามไปยังฝั่ง สปป.ลาว บริเวณด่านพรมแดนเชียงของ(ท่าเรือบั๊ค) อ.เชียงของ จงเชียงราย โดยถือกระติกน้ำแข็งสีชมพู สภาพใหม่เอี่ยมหุ้มด้วยถุงพลาสติกใสและสะพายกระเป๋าผ้าสีน้ำตาลมาด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่พบพิรุธว่ากระติกน้ำซึ่งอยู่ในสภาพใหม่แต่ผู้ที่ถือมีลักษณะว่ากระติกดังกล่าวมีน้ำหนักมาก จึงขอทำการตรวจค้นปรากฎว่าพบของกลางเงินสดทั้งหมดพันด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ซุกซ่อนอยู่ในกระติกน้ำ กระเป๋าเสื้อผ้าและกางเกงยืน
จากการสอบสวนถึงที่มาของเงินดังกล่าว ทั้งคู่กลับไม่มีเอกสารการขออนุญาตการนำเงินตราออกนอกราชจักร รวมทั้งไม่ได้สำแดงรายการเงินตรานำออกไปนอกราชอาณาจักรต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร ซึ่งทั้งคู่ได้อ้างว่าเป็นเงินที่นายจ้างซึ่งเปิดบริษัทชิ๊ปปิ้ง แห่งหนึ่งซึ่งทำการค้าขายแดนอยู่ในฝั่ง สปป.ลาว ให้นำมาเพื่อจ่ายเป็นค้าน้ำมันเชื้อเพลิงของพ่อค้าชาวจีนคนหนึ่ง โดยได้ทำการเบิกเงินมาจากธนาคารกรุงไทย สาขาเชียงของ แต่ปรากฎว่าสินค้าที่สั่งไว้ยังไม่ได้ จึงจะนำเงินดังกล่าวกลับไปให้นายจ้าง โดยจะได้รับเงินค่าจ้างประมาณ 6,000 บาท
ด้าน พ.ต.อ.ถนอมศักดิ์ ยศแผ่น ผกกก.สภ.เชียงของ กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นของหญิงสาวทั้งสองคนยังให้การวกวน โดยไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในชั้นสอบสวน แต่ดูจากพฤติกรรมแล้วเชื่อว่าจะน่าเป็นการลักลอบนำเงินตราออกนอกประเทศ โดยการซุกซ่อนอำพราง ปกปิดโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่รู้ ซึ่งเป็นความผิดตาม พรบ.ศุลกากร ซึ่งทางตำรวจจะได้ทำการสอบสวนและเร่งสรุปสำนวนส่งฟ้องศาลต่อไป
ด้านนายศรชัย สร้อยหงษ์พราย นายด่านศุลกากรเชียงของ กล่าวว่า ในระยะหลังเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจยึดเงินสดข้ามแดนไปยัง สปป.ลาว มาแล้วถึง 3 ครั้งแล้ว โดยครั้งก่อนหน้านี้สามารถตรวจยึดได้เงินถึงกว่า 47 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนมหาศาลซึ่งได้ส่งเรื่องให้ทางดีเอสไอรับคดีไปดำเนินการต่อแล้ว เพื่อตรวจสอบถึงที่มาชองเงินดังกล่าว และเกี่บยวข้องกับธุรกิจนอกกฎหมายหรือไม่ ซึ่งครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ถูกทางเจ้าของเงินฟ้องร้องเพื่อเอาคดีความด้วย ซึ่งก็ได้ยืนยันว่าการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เช่นเดียวกับกรณีนี้ก็ต้องมีการตรวจสอบว่าเป็นเงินที่บริสุทธิ์หรือไม่ หากเจ้าของมีหลักฐานมาแสดงหรือต่อสู้ในชั้นศาลการตัดสินออกมาเป็นเช่นไรก็ว่าไปตามกฎหมาย แต่ในเบื้องต้นจะได้นำเงินทั้งหมดส่งเข้าไปเก็บรักษาที่กรมบัญชีกลางโดยให้คลังจังหวัดเป็นผู้เก็บรักษาไว้ก่อน
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.