“คนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มีถึง 140 คน ซึ่ง 70 เปอร์เซ็นต์เรียนไม่จบขั้นบังคับม.3 และ 80 เปอร์เซ็นต์เรียนไม่จบขั้นพื้นฐานม.6 ด้วยหลุดจากระบบการศึกษา ผู้คุมจึงต้องเป็นครู โต๊ะอิหม่าม พระ พยาบาล…”
นายศรชัย ตลาสุข รักษาราชการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางปัตตานี กล่าวถึงการหลุดจากระบบการศึกษาของผู้ต้องขังในเรือนจำทำให้มีผู้อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้จำนวนมาก ต้องจัดให้รุ่นพี่และผู้คุมช่วยกันสอนและดูแล และต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติว่าการศึกษาช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
“ประตูวัดและมัสยิดเปิดต้อนรับแต่ไม่เข้า ส่วนเรือนจำปิดประตูตลอดเวลาแต่เข้ามากันทุกวัน จึงจำเป็นต้องยกวัดและมัสยิดเข้ามาไว้ในเรือนจำเพื่อให้ผู้ต้องขังได้สัมผัสหลักศาสนา ช่วยกล่อมเกลาจิตใจ โดยช่วงหลังมีผู้ที่ติดยาเสพติดเข้ามามากขึ้น ทางเรือนจำได้สนับสนุนนโยบายต้องมีการตรวจสารเสพติดทุกเดือน ตรวจทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังให้ปลอดยาเสพติด เพื่อจะให้เป็นเรือนจำสีขาวให้ได้”
“เมื่อรับเข้ามา สิ่งแรกคือการจำแนกสุขภาพ การศึกษา ความสามารถ ด้านการศึกษาคือทดสอบการอ่านออกเขียนได้ หากไม่ผ่านจะมีรุ่นพี่ประกบช่วยสอน เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติว่า การศึกษาสามารถทำให้มีชีวิตที่ดีได้จริง การจำแนกทำให้พบว่า มีทุกระดับการศึกษาตั้งแต่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จนถึงระดับปริญญาเอก คนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มีถึง 140 คน ซึ่ง 70 เปอร์เซ็นต์เรียนไม่จบขั้นบังคับม.3 และ80 เปอร์เซ็นต์เรียนไม่จบขั้นพื้นฐานม.6 หลุดจากระบบการศึกษา ผู้คุมจึงต้องเป็นครู โต๊ะอิหม่าม พระ พยาบาล”
ผบ.เรือนจำกลางปัตตานี บอกว่า ที่นี่เป็นเรือนจำการศึกษานำร่อง ที่รมว.ยุติธรรมได้ริเริ่ม โดยมีการรวมกลุ่ม 30 คน เรียนรู้ทุกบริบทภายในเรือนจำเป็นวิชาและหน่วยกิต เก็บเป็นรายชั่วโมง โดยไม่ต้องไปเรียน เกิดการยืดหยุ่นด้านการศึกษา เพราะผู้ต้องขังมีองค์ความรู้ที่หลากหลาย มีวุฒิบัตรการศึกษารับรองของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้(ศกร.) สามารถนำไปสมัครงานได้
“พยายามให้ทุกคนพัฒนาการเรียนรู้ เมื่อทำผิดพลาดมาให้ใช้ชีวิตในเรือนจำด้วยการเก็บเกี่ยวให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เมื่ออยู่ข้างนอกก็ไม่เรียน ถูกปล่อยตัวออกไปก็เชื่อว่าไม่กลับไปเรียนแน่นอน ตั้งใจเรียนข้างในนี้เถอะ ทั้งวิชาสามัญ ศาสนาและอาชีพ และการเรียนนำมาพิจารณาในเกณฑ์การลดโทษด้วย เป็นสร้างแรงจูงใจตามระเบียบว่าผู้ต้องขังคนใดมีความวิริยะอุตสาหะด้านการศึกษา จะมีผลพิจารณาในการลดโทษ เพราะมีความตั้งใจในการพัฒนาตนเอง”
ด้านการส่งเสริมทักษะอาชีพมีความหลากหลายทั้งงานช่าง เบเกอรี่ เสริมสวย เย็บผ้า เป็นต้น ซึ่งจะเน้นย้ำในคนที่กำลังจะพ้นโทษ เพื่อได้มีทักษะอาชีพติดตัวไปประกอบอาชีพเมื่อพ้นโทษ
“อยากให้สังคมให้โอกาส ช่วยประคับประคองให้พวกเขาสามารถเดินในเส้นทางอาชีพที่เขาฝึกตั้งแต่ในเรือนจำได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอาชีพที่เขาถนัดช่วยฝึกทักษะเพิ่มศักยภาพอีก 2-3 เดือนและผู้ประกอบการมาช้อนต่อในการให้โอกาสทำงาน พวกเขาเป็นกลุ่มเปราะบางที่ควรช่วยกันดูแลและให้กำลังใจ เปิดโอกาสให้ได้กลับคืนสู่สังคมอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากัน เมื่อมีอาชีพและรายได้ กินอิ่ม นอนหลับ ไม่ละเมิดกติกาสังคม เขาก็จะไม่หันหลังกลับมายุ่งกับสิ่งเสพติดและสิ่งผิดกฏหมาย เพราะผู้ต้องขังทุกคนได้รับโทษที่สมควรรับจากข้างในแล้ว” ผบ.เรือนจำกลางปัตตานี ทิ้งท้ายให้สังคมได้ยื่นโอกาสแก่ผู้พ้นโทษ
นายอิบรอเหม เบ็ญนา ผอ.สำนักงานเลขานุการ ผอ.กสม. ศอ.บต. ซึ่งร่วมติดตาม ภาพรวมของกิจกรรม ตามนโยบาย “120 วัน วาระพืชกระท่อม” ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต.นักวิชาการ กล่าวว่า ศอ.บต.หนุนเสริมให้มีการจัดระบบการเรียนการสอนในระดับป.1-ม.6 และทักษะอาชีพต่างๆ ในเรือนจำกลางปัตตานี
“หากยังไม่พ้นโทษก็ส่งเสริมให้เรียนระดับปริญญาตรีมสธ.ต่อ จบแล้วรับปริญญาบัตรที่เรือนจำบางขวาง เมื่อพ้นโทษได้มีวุฒิการศึกษา สมัครงานได้ หรือจบม.6 สามารถสมัครงานรปภ.ได้รวมทั้งส่งเสริมอาชีพ เมื่อพ้นโทษได้มีวิชาชีพติดตัวไปประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้”
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.