ขอนแก่นเปิดเวทีหารือไทย- ลาว-จีนพัฒนาท่องเที่ยวโลจิสติกส์เส้นทางรถไฟความเร็วสูง เสริมสร้างการเชื่อมโยงและการเดินทางระหว่างสามประเทศ ส่งเสริมโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวตามเส้นทางรถไฟ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 19 ส.ค. 2568 ที่โรงแรมพูนแมน ขอนแก่น ราชาออคิด จ.ขอนแก่น นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ นางหลิว หง เหมย กงสุลใหญ่ สถานกงสุลสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดขอนแก่น ,นายดาวจินดา สีหาราด ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาวและนายสุริยัน วิจิตรเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ร่วมเปิดประชุมหารือและแลกเปลี่ยวแนวทางการพัฒนาในงานประชุมส่งเสริมโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวตามแนวทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย โดยมีผู้แทนจากทุกภาคส่วนของทั้งสามประเทศร่วมหารือ โดยมีการเปิดตัวสถานที่ท่องเที่ยวภาคอีสานโดนใจที่ได้รับการโหวตจากประชาชนผ่านเพจเฟซบุ๊ค 10 แห่ง อาทิ พระมหาธาตุแก่นนคร จังหวัดขอนแก่น, อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา, วัดคำชะโนด จ.อุดรธานี, เชียงคาน จ.เลย ภูทอก จ.บึงกาฬ นอกจากนี้ยังมีการเปิดเวทีหารือย่อยใน 2 ด้านทั้งด้านการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวและพัฒนาระบบโลจิติกส์ การปาถกฐาพิเศษ การสัมมนาวิชาการโดยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะสร้างโอกาสที่ท้าทาย นำไปสู่การพัฒนาและสร้างความยั่งยืนในทุกด้าน ในงานยังมีการจัดแสดงสินค้าที่น่าสนใจของแต่ละพื้นที่ของสามประเทศด้วย
นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่าการประชุมครั้งนี้ จัดโดยสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ตามคำร้องขอของสถานกงสุล ใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำขอนแก่น และร่วมเป็นเจ้าภาพโดยสำนักงานกิจการต่างประเทศของรัฐบาล ประชาชนมณฑลยูนนาน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมเกือบ 300 คน เพื่อค้นหาวิธีการเสริมสร้างการค้าข้ามพรมแดน และการอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว ปรับปรุงประสิทธิภาพโลจิสติกส์ และเพิ่มประสบการณ์การเดินทาง ในระดับภูมิภาค
“ไทยพร้อมร่วมหารือแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์บนเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว-ไทยทั้งความสะดวก ปลอดภัยและเสริมศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวรองรับการเติบโตให้ยั่งยืน ซึ่งนอกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการศุลการกรและตรวจคนเข้าเมืองให้เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนให้ทุกกลุ่มร่วมรับผิดชอบสู่ความยั่งยืน โดยไทยเตรียมพร้อมแผนพัฒนาระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว”
นายจักรพล กล่าวต่อว่าการเชื่อมโยงนี้นำเสนอโอกาสพิเศษสำหรับไทย ในฐานะศูนย์กลางการขนส่งใน อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน รถไฟนี้ถูกมองว่าเป็นตัวกระตุ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนและเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์การค้า สิ่งนี้ไม่เพียงแต่วางตำแหน่งกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ แต่ยังรวมถึงจุดหมายปลายทาง ที่กำลังเกิดขึ้นใหม่อย่างหนองคาย อุดรธานี และขอนแก่น เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการท่องเที่ยวในระดับ ภูมิภาคที่ยั่งยืนและครอบคลุมสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่เปิดใช้รถไฟจีน-ลาว ในปี 2564 ได้สะท้อนมุมมองนี้เช่นกัน
ด้าน นางหลิว หงเหมย กงสุลใหญ่ สป.จีน กล่าวว่า ในฐานะผู้ริเริ่มและผู้จัดการ ประชุมครั้งนี้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมจากทุกท่านที่ให้ความสำคัญต่อโอกาสในความร่วมมือ ระดับภูมิภาคที่ จะเกิดขึ้นจากโครงการรถไฟจีน–ลาว–ไทย สำหรับประเด็นที่ทุกท่านให้ความสนใจนัยสำคัญที่มีต่อประเทศไทย จึงมีการจัดประชุมในครั้งนี้นั้น เนื่องจากในเดือนเมษายนปีนี้ รัฐบาลกลางของจีนได้จัดการประชุมว่าด้วยกิจการต่อประเทศเพื่อน บ้าน ซึ่งได้ระบุอย่างชัดเจนถึงการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันสร้าง ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของประเทศรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเน้นย้ำผลักดันการบูรณาการห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการปรับปรุงเครือข่ายความเชื่อมโยง ซึ่งทางรถไฟจีน–ลาว–ไทยก็นับเป็นกลไกสำคัญของ การเชื่อมโยงอย่างแข็งแกร่งในระดับภูมิภาค ปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างล่าช้า ขณะที่ลัทธิคุ้มครองทางการค้าได้สร้างความท้าทายต่อระบบการค้าระหว่างประเทศ
“ไทย -สปป.ลาว และจีน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ต่างก็มีความปรารถนาที่จะร่วมมือกันเพื่อบรรลุการพัฒนาร่วมกัน หลักการดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างแข็งขันจากทุกประเทศ นั่นคือเจตนารมณ์ดั้งเดิมในการ จัดการประชุมครั้งนี้เช่นกันปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน–ไทย การประชุมครั้งนี้ยังเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของสถานกงสุลใหญ่จีน ณ จังหวัดขอนแก่น ในการ เสริมสร้างมิตรภาพภายใต้ประโยคที่ว่าจีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเพื่อผลักดันการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันจีน – ไทย”
ด้าน นายดาวจินดา สีหาราด ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว กล่าวว่า ภายใต้กระทรวงโยธาธิการและขนส่ง เน้นย้ำว่าโครงการนี้ได้เปลี่ยนแปลงประเทศอย่างไรนั้น ในลาว รถไฟได้กลายเป็น แรงผลักดันสำคัญของการเปลี่ยนแปลง—ลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มกระแสการค้า และสร้างโอกาสใหม่สำหรับการ ท่องเที่ยว มันได้เปลี่ยนลาวให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทางบก เชื่ อมต่อเรากับตลาดระดับภูมิภาคและโลก ด้วยการบูรณาการเข้ากับเครือข่ายรถไฟของไทย สามประเทศของเราขณะนี้พร้อมที่จะสร้างเส้นทางรถไฟต่อเนื่อง ที่เชื่อมโยงดินแดนภายในของจีนกับใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และต่อไป
“นับตั้งแต่เปิดใช้งาน รถไฟจีน-ลาวมีส่วนช่วยให้เกิดการเติบโตของ GDP เฉลี่ยต่อปีร้อยละ 4 ในลาว กระตุ้นการ ขยายตัวในด้านโลจิสติกส์ การผลิต และการท่องเที่ยว และสร้างงานทางอ้อม 120,000 ตำแหน่ง ผู้โดยสารกว่า 10 ล้านคนเดินทางตามส่วนของลาว และขณะนี้มีการขนส่งสินค้ามากกว่า 3,000 ประเภท การส่งออกรายวันรวมถึง ผลไม้เมืองร้อนกว่า 2,000 ตัน ซึ่งมากกว่า 1,400 ตันเป็นทุเรียน ซึ่งแสดงถึงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 200 เมื่อ เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว อุปทานส่วนใหญ่มาจากไทย ซึ่งได้รับประโยชน์จากระบบจัดส่งห่วงโซ่ความเย็นแบบเต็ม รูปแบบ 40 ชม.”
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.