จาก “ผู้สั่งการ” สู่ “ผู้สนับสนุน”: เบื้องหลังแนวทางใหม่ ศอ.บต. กับภารกิจเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากไฟใต้
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เดินหน้าสานต่อนโยบาย “เยียวยาชุมชน” หวังปลุกสำนึกความสามัคคีในพื้นที่พหุวัฒนธรรม โดยพบว่าปัญหายาเสพติดคือรากเหง้าสำคัญที่กัดกร่อนชุมชน ขณะเดียวกันยังเดินหน้าฟื้นฟูจิตใจผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ความไม่สงบ
โรงเรียนสะบ้าย้อยวิทยา จังหวัดสงขลา นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง (กสม.) และเจ้าหน้าที่ ศอ.บต. ได้เข้าร่วมกิจกรรม “จิบนํ้าชายามเช้า” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 โดยมีนายนันต์อินทร์ ศิริรัตน์ นายอำเภอสะบ้าย้อย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในพื้นที่ร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
กิจกรรมดังกล่าวซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก ศอ.บต. เน้นการสร้างความเข้าใจ ลดความหวาดระแวง และเสริมสร้างความสามัคคีในชุมชน โดยผลสรุปจากการจัดงานที่ผ่านมา 9 ครั้ง พบว่า ปัญหายาเสพติด เป็นประเด็นสำคัญที่กัดกร่อนชุมชนมากที่สุด ตามมาด้วยปัญหาความมั่นคงและความขัดแย้งที่ไม่เข้าใจกันในหมู่ประชาชน
กิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้กล้าที่จะพูดและแสดงความคิดเห็นเพื่อส่วนรวมมากขึ้น โดยมีหลักการให้คนส่วนใหญ่ในชุมชนได้เข้ามาดูแลคนส่วนน้อยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา และหากไม่สามารถแก้ไขได้ก็ให้ประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน ชมรมพลังอาสาพัฒนาชุมชน ต.พร่อน ได้จัดโครงการ “เชื่อมความสัมพันธ์ ชุมชนไทยพุทธ-มุสลิม” ขึ้นในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยมีกิจกรรมสำคัญ 3 อย่างคือ การจิบน้ำชา กาแฟเพื่อสานสัมพันธ์, การละหมาดฮายัต (ขอพร) และการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับที่วัดสิทธิสารประดิษฐ์
งานในครั้งนี้ ศอ.บต. ได้มอบหมายให้ นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ เป็นผู้แทนเลขาธิการ ศอ.บต. ในการเป็นประธานกิจกรรมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 3 ราย และบาดเจ็บ 2 ราย
ศอ.บต. ระบุว่า กิจกรรมดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแค่พิธีทางศาสนา แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “เยียวยาชุมชน” ที่มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูจิตใจ สร้างพื้นที่แห่งความเข้าใจ และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชน หน่วยงานรัฐ และผู้นำทางศาสนา เพื่อให้ทุกคนได้ก้าวผ่านความสูญเสียและอยู่ร่วมกันอย่างเข้มแข็งในสังคมพหุวัฒนธรรม
การสร้างพื้นที่กลาง ถือว่าสำเร็จและเป็น’แนวทางใหม่’ ที่ ศอ.บต. ได้สานพลัง ‘ชุมชน’ทั้งปัญหายาเสพติดหรือความขัดแย้ง จะต้องแก้ที่ใจ
การดำเนินงานของ ศอ.บต. ภายใต้แนวคิด “เยียวยาชุมชน” ที่ก้าวข้ามกรอบความมั่นคงแบบเดิมสู่การให้ความสำคัญกับมิติทางสังคมและจิตใจ ถือเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจ แต่หากพิจารณาในเชิงลึกตาม พบว่าโครงการนี้มีทั้งจุดแข็งที่น่าจับตาและความท้าทายที่ต้องตั้งคำถาม
แนวคิดนี้สะท้อนความเข้าใจปัญหาชายแดนใต้ในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น โดยเฉพาะการยอมรับว่า “ปัญหายาเสพติดคือรากเหง้า” ที่กัดกร่อนสังคม และการฟื้นฟูจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงก็สำคัญไม่แพ้กัน
การใช้กิจกรรมอย่าง “จิบน้ำชายามเช้า” เพื่อสร้างความสามัคคีและเปิดเวทีรับฟังปัญหา ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่เฉียบคม เพราะสามารถจัดการกับสองปัญหาหลัก (ยาเสพติดและความขัดแย้ง) ไปพร้อมกัน โดยใช้เวทีเดียวกันเป็นเครื่องมือ
ศอ.บต. สนับสนุนทุนให้ชุมชนขับเคลื่อนกิจกรรมเอง เป็นการเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สั่งการ” มาเป็น “ผู้สนับสนุน” ซึ่งช่วยลดความหวาดระแวง และสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง
นับเป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างศาสนา ผ่านโครงการ “เชื่อมความสัมพันธ์” ที่นำชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมมาทำกิจกรรมร่วมกันนั้นไม่ใช่แค่การรวมตัว แต่คือการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับการสื่อสารและความเข้าใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งระยะยาว
แม้แนวทางนี้จะน่าชื่นชม แต่ยังมีคำถามสำคัญที่ต้องพิจารณาเพื่อให้โครงการนี้ยั่งยืนและไม่เป็นเพียงกิจกรรมฉาบฉวย การวัดผลที่จับต้องได้ คือเป้าหมายที่ศอ.บต.กำหนด เพราะการ “ฟื้นฟูจิตใจ” และ “สร้างความเข้าใจ” เป็นนามธรรมอย่างยิ่ง ศอ.บต. จึงใช้ชุมชนขับเคลื่อนชุมชน เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจน และจับต้องได้ มิติของ ความเข้าใจ ความสามัคคี ที่เกิดขึ้นภายในชุมชน คือคำตอบ แนวทาง “เยียวยาชุมชน” ของ ศอ.บต. เป็นสัญญาณที่ดีว่าภาครัฐกำลังปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาชายแดนใต้ในมิติที่ลึกกว่าเดิม แต่ความสำเร็จที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามและจับตามองต่อไปอย่างใกล้ชิดต่อไป



Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.