ศอ.บต. เปิดมิติใหม่การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนใต้ ทุ่มงบ 25 ล้านบาท จัด “มหกรรม THAI DEEP SOUTH CONNECT ของดีพื้นที่ วิถีพื้นถิ่นชายแดนใต้” ใน 5 จังหวัด หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ด้านรองเลขาธิการฯ เผยโมเดลคำนวณผลตอบแทน คาดสร้างเงินหมุนเวียนกลับสู่พื้นที่เกือบเท่าตัว แตะ 50 ล้านบาท ชี้ ไม่ใช่แค่การขายของ แต่คือเวทีสร้างโอกาสให้กลุ่มเปราะบางและผู้ได้รับผลกระทบรวมถึงภาคประชาชนในพื้นที่
ตามนโยบายของ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่มุ่งยกระดับเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ ล่าสุด ศอ.บต. ได้เปิดตัวโครงการ “มหกรรม THAI DEEP SOUTH CONNECT ของดีพื้นที่ วิถีพื้นถิ่นชายแดนใต้” เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น
นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ รองเลขาธิการ ศอ.บต. เปิดเผยกับ “ผู้สื่อข่าว” ว่า โครงการนี้เป็นการต่อยอดจากโครงการ “ของดีชายแดนใต้” ในอดีต แต่มีกรอบคิดที่กว้างกว่าแค่การเปิดบูธขายสินค้าทั่วไป โดยใช้ชื่อโครงการว่า “Thai Deep South Connect” ซึ่งมีความหมายมากกว่าแค่การขายของ
“ฐานการคิดของการออกบูธ 300 บูธ มาจาก 4 กลุ่มหลัก คือ 1.สินค้า OTOP ที่มีแบรนด์อยู่แล้ว 2.กลุ่มเกษตรแปรรูป 3.กลุ่มการผลิตนอกภาคเกษตร และ 4.กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบและคนเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เราต้องการสร้างโอกาสให้เขาในการมีพื้นที่สำหรับสินค้าของตัวเอง นี่คือโอกาสของทั้ง 4 กลุ่ม ที่ต่อยอดมาเป็นคำว่า ‘ของดีพื้นที่ วิถีพื้นถิ่นชายแดนใต้’” นายนันทพงศ์ กล่าว
สำหรับกระบวนการคัดเลือกผู้ประกอบการ 300 รายชื่อ จะมาจากการทำงานร่วมกันของอย่างน้อย 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด, สำนักงานพาณิชย์จังหวัด, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสำนักงานเกษตร เพื่อให้เกิดการเปิดโอกาสที่โปร่งใสและทั่วถึง
รองเลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวถึงโมเดลการลงทุนว่า โครงการนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 25 ล้านบาท โดยจัดใน 5 จังหวัดใช้งบประมาณครั้งละ 5 ล้านบาท ซึ่งมีการคำนวณผลตอบแทนตามหลักวิชาการคาดว่าจะได้กลับคืนมาไม่น้อยกว่า 9.2 ล้านบาทต่อครั้ง
“ผลตอบแทนคำนวณจาก 3 ส่วน คือ 1.ผลตอบแทนโดยตรง จากการขายของใน 300 บูธ ประมาณล้านกว่าบาท 2.ผลตอบแทนโดยอ้อม จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยมีนักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นตัวหลัก ส่วนนี้คำนวณไว้ 2 ล้านกว่าบาท และ 3.ผลทวีคูณอีก 5 ล้านกว่าบาท รวมแล้วลงทุน 5 ล้าน จะมีรีเทิร์นกลับมา 9 ล้านเศษ เมื่อจัด 5 ครั้ง เราลงทุน 25 ล้าน เราคาดว่าจะได้กลับมาเกือบ 50 ล้าน ก็เกือบเท่าตัว ถือว่าในเชิงตัวเลขก็คุ้มทุน”
นอกจากผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน นายนันทพงศ์ยังย้ำถึงผลลัพธ์เชิงคุณภาพที่ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้ เช่น การทดลองตลาดสินค้าใหม่ การขยายฐานลูกค้า การสร้างการรับรู้สู่นักท่องเที่ยว และการพัฒนาทักษะการจัดการของผู้ประกอบการ
สำหรับพื้นที่จัดงานทั้ง 5 แห่ง ถูกเลือกอย่างมีกลยุทธ์ โดย 4 แห่งเป็นอำเภอชายแดนเพื่อดึงดูดกำลังซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ อ.เบตง จ.ยะลา, อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส, อ.วังประจัน จ.สตูล, และ อ.สะเดา จ.สงขลา ส่วนอีกแห่งคือ อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางและเมืองท่องเที่ยวสำคัญ โดยจะจัดงานประเดิมเป็นที่แรก
“งานจะจัดยาวไปจนถึงต้นปีหน้า โดยจะเริ่มที่ปัตตานีเป็นปฐมฤกษ์ หลังจากนั้นจะไปชายแดนอีก 4 จุด เราอยากสื่อสารไปยังนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่ นอกพื้นที่ โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย ให้เข้ามาเที่ยวงานและจับจ่ายใช้สอย”
นายนันทพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ศอ.บต. มีแผนที่จะต่อยอดโครงการนี้ให้เป็นมากกว่างานแสดงสินค้า โดยจะเปิดพื้นที่ให้องค์กรภาคประชาสังคม หรือหน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการดีๆ ได้ใช้เวทีนี้ในการนำเสนอผลงาน สร้างการรับรู้ และเรียนรู้ร่วมกับสังคม
“เมื่อมหกรรมไปอยู่จุดที่ท่านมีความพร้อม ท่านมานำเสนอได้ เพื่อเปิดโลกให้นักท่องเที่ยวรู้ว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้คือเพชรเม็ดงามที่เขาควรมาเยี่ยม เรามองว่ามีโอกาสอีกหลายตัวที่จะเข้ามาอยู่ในขบวนรถไฟ ‘Thai Deep South Connect’ ได้ โดยมีปัตตานีเป็นพื้นที่นำร่องและเป็นพื้นที่ที่เราจะเรียนรู้ไปด้วยกัน” รองเลขาธิการ ศอ.บต. กล่าว
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.