วันที่ 20 ต.ค. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวน สภ.เชียงแสน ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย พ.ต.อ.อนุพันธ์ กันถารัตน์ ผกก.สภ.เชียงแสน จ.เชียงราย สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เชียงแสน ติดตามจับกุมผู้ต้องหาในคดีเกี่ยวกับการซื้อขายบัญชีม้าในพื้นที่ อ.เชียงแสน หลังจากที่ได้สืบทราบว่าจะมีการลักลอบนำส่งสมุดบัญชีธนาคาร, บัตรอิเล็กทรอนิกส์ และซิมการ์ด ผ่านบริษัทขนส่งเอกชน เพื่อจะส่งออกไปยังประเทศลาว โดยพัสดุดังกล่าวจะนำมาฝากไว้ที่จุดฝากรถหน้าจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จึงได้นำกำลังออกไปตรวจสอบ และวางกำลังโดยรอบจุดฝากรถดังกล่าว
ต่อมา เวลาประมาณ 13.05 น. มีรถขนส่งบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ขับขี่เข้ามาจอดยังบริเวณหน้าลานฝากรถ และมีเจ้าหน้าที่ขนส่งนำกล่องพัสดุจำนวนหนึ่งลงวางไว้ที่โต๊ะรับส่งพัสดุ ก่อนจะมีชาย เดินออกมานำพัสดุดังกล่าวเข้าไป เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนที่ซุ่มอยู่บริเวณใกล้เคียงจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการสอบถามทราบว่าชายคนดังกล่าวชื่อ นายรุ่งโรจน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ชาว ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย และพบกล่องพัสดุจำนวน 6 กล่องวางรวมกันบริเวณโต๊ะดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงขอทำการตรวจสอบกล่องพัสดุต้องสงสัยดังกล่าว ซึ่งนายรุ่งโรจน์ให้การว่าภายในกล่องพัสดุคือสมุดบัญชีธนาคาร, บัตรอิเล็กทรอนิกส์ และซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ
ผลการตรวจสอบโดยละเอียด พบของกลางประกอบด้วย บัญชีธนาคารออมสิน 12 เล่ม บัญชีธนาคารกสิกรไทย 4 เล่ม บัญชีธนาคารกรุงเทพ 1 เล่ม บัตรเอทีเอ็มธนาคารออมสิน 12 บัตร บัตรเอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทย 6 บัตร บัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ 1 บัตร ซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือเครือข่าย AIS 20 อัน บรรจุอยู่ในกล่องพัสดุทั้ง 6 กล่องที่ถูกตรวจยึดได้ และตรวจยึดโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 8 พลัส ของผู้ต้องหาไว้เพื่อตรวจสอบขยายผล
เบืัองต้น นายรุ่งโรจน์ให้การว่า ตนเองมีอาชีพรับฝากรถ และได้รับการว่าจ้างจากชายชาวจีนที่อาศัยอยู่ประเทศลาว ให้ตนเองนั้นเป็นผู้รับกล่องพัสดุจำนวนดังกล่าว และให้ค่าจ้างเป็นเงินเดือน เดือนละ 10,000 บาท โดยได้รับค่าจ้างมาประมาณ 2 เดือนแล้ว โดยมีชายชาวไทยเป็นคนติดต่อและนำเงินจำนวนดังกล่าวมาให้ตนเพื่อเป็นค่าจ้าง และเมื่อตนเองรับพัสดุสำเร็จแล้ว จะมีชายชาวไทยอีกคนมารับช่วงเพื่อนำส่งต่อไปยังประเทศลาว
ในการรับกระทำความผิดดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “เป็นผู้สนับสนุนหรือช่วยด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566” จากนั้นจึงนำส่งผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดให้พนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฏหมายต่อไป
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.