นักวิชาการเตือนผลกระทบจาก MOU ไทย–สหรัฐฯ ด้านแร่สำคัญ อาจซ้ำเติมวิกฤติสิ่งแวดล้อม หลังเหมืองฝั่งเมียนมายังปล่อยสารปนเปื้อน ขณะที่รัฐบาลไทยยังไร้แนวทางแก้ไขชัดเจน

1,488

ในช่วงที่รัฐบาลไทยเร่งสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรธรรมชาติ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย–สหรัฐฯ ว่าด้วย “แร่สำคัญ” หรือ Critical Minerals กลับสร้างความกังวลในวงวิชาการและภาคประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนจากเหมืองฝั่งเมียนมา ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในลุ่มน้ำก๊ก สาย รวก และโขง

ดร.สืบสกุล กิจนุกร กล่าวว่า หลังจากที่รองนายกรัฐมนตรีเดินทางมาที่เชียงใหม่และเชียงรายสองคน คือ นายสุชาติ ชมกลิ่น และร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เมื่อวันที่ 9 และ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา เราเห็นความตั้งใจของทั้งสองท่านที่เข้ามารับฟังปัญหาของประชาชน แต่รัฐบาลยังไม่แสดงความพยายามในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการยุติการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำก๊ก ต้นน้ำสาย ต้นน้ำรวก และต้นน้ำโขง ซึ่งเป็นสาเหตุของสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำ ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จากรัฐบาลในการเจรจากับเมียนมาและจีน โดยเมียนมาเป็นพื้นที่ตั้งของเหมือง ส่วนจีนเป็นทั้งนักลงทุนและผู้รับซื้อแร่รายใหญ่ หลังรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแล้วกว่า 1 เดือน ก็ยังไม่เห็นท่าทีที่ชัดเจน

ปัจจุบันจากการติดตามสารปนเปื้อนในแม่น้ำ พบว่าสารโลหะหนักหลายชนิดยังเกินค่ามาตรฐานในน้ำและตะกอนดิน แสดงว่ายังมีการปล่อยสารจากเหมืองอยู่ตลอดเวลา หน่วยงานราชการรายงานว่า ปลาน้ำจืดพบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะปรอท แม้ยังต่ำกว่ามาตรฐาน พืชผักทางการเกษตรก็พบโลหะหนักเช่นกัน ขณะที่น้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาคในพื้นที่เชียงรายและแม่สาย ตรวจพบสารหนูและแบเรียม แม้ยังไม่เกินมาตรฐาน

โดยสรุป หน่วยงานราชการยังคงเฝ้าระวังต่อเนื่อง แต่ผลการรายงานส่วนใหญ่ระบุเพียงว่า “พบแต่ไม่เกินมาตรฐาน” ทั้งที่ความจริงประชาชนกำลังรับสารโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ผ่านการบริโภคน้ำประปา พืชผัก และปลาในท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาระความเสี่ยงที่ประชาชนต้องแบกรับเอง

หลังการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย–สหรัฐฯ เกี่ยวกับการซื้อขายแร่ สามารถมองได้หลายประเด็น

ประเด็นแรก รัฐบาลขาดธรรมาภิบาลทั้งก่อนและหลังการทำ MOU ก่อนทำ ไม่มีการแจ้งหรือเปิดเผยต่อประชาชน และไม่พบหลักฐานว่าเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจริง แม้ต่อมาจะมีคำอธิบายไม่ตรงกันจากหลายฝ่าย ข้อเท็จจริงคือ ประชาชนรู้เรื่อง MOU นี้จากสื่อมวลชนที่อ้างข้อมูลจากเว็บไซต์ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ขณะที่รัฐบาลไทยกลับไม่เผยแพร่เอกสารหรือคำแปลอย่างเป็นทางการใด ๆ แสดงถึงการขาดความโปร่งใส

ประเด็นที่สอง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีขาดความเข้าใจเกี่ยวกับ “แร่สำคัญ” หรือ Critical Minerals รวมถึง “ธาตุหายาก” (Rare Earth Elements) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และยุทโธปกรณ์ สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ แต่รัฐบาลไทยกลับพูดถึงเพียง “แร่ธาตุ” ทั่วไป โดยไม่เข้าใจบริบททางยุทธศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์

ประเด็นที่สาม MOU ฉบับนี้ขาดหลักประกันด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ไม่มีการกล่าวถึงแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการทำเหมืองและธุรกิจในยุคปัจจุบัน ไม่กล่าวถึงหลักสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเองก็มีแผนปฏิบัติการระดับชาติ รวมถึงไม่มีระบบ “ตรวจสอบย้อนกลับ” ของแร่ในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้มั่นใจว่าแร่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไม่ได้มาจากแหล่งที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้น MOU นี้จึงขาดหลักประกันต่อสังคมโดยสิ้นเชิง

ประเด็นสุดท้าย รัฐบาลควรทบทวน MOU ฉบับนี้ใหม่ เพราะแร่สำคัญมีมากกว่า 50–60 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นสูง พลังงานสะอาด และยุทโธปกรณ์ การลงนามโดยขาดความเข้าใจอาจกระทบต่อความมั่นคงทางทรัพยากรของประเทศ

ในส่วนของผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หาก MOU นำไปสู่การดำเนินการจริง เช่น การขุดแร่และส่งออก อาจเกิดได้สองทาง คือ สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนทำเหมืองในไทยโดยตรง โดยแร่สำคัญที่พบในไทย เช่น ทังสเตน โปแตส พลวง แมงกานีส ทองแดง สังกะสี ตะกั่ว และแทนทาลัม ซึ่งไทยเคยทำเหมืองอยู่แล้ว หรือไทยถูกใช้เป็น “ทางผ่าน” เพื่อนำเข้าแร่จากเมียนมา เช่น แมงกานีส พลวง ตะกั่ว ดีบุก และวุลแฟรม ซึ่งเป็นแร่ในบัญชี Critical Minerals ของสหรัฐฯ แล้วส่งต่อไปแปรรูปหรือจำหน่ายต่อ

หากไม่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน จะส่งผลให้เกิดการขุดแร่เพิ่มขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้การควบคุม และจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดแนวชายแดนไทย–เมียนมาทั้งหมดกว่า 2,400 กิโลเมตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

แสดงความคิดเห็น

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.