หวั่นลำน้ำโขงกลายเป็นอ่างกักตะกอนพิษหากสร้างเขื่อนปากแบงประชิดแดนไทย ภาคประชาชน-นักวิชาการร้องศาลปกครองฟ้องนายกรัฐมนตรี-ครม.-กพช.-กฟผ.ยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้า
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ศาลปกครอง จ.เชียงใหม่ กลุ่มรักษ์เชียงของ ประชาชน นักวิชาการ และทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ผู้ถูกฟ้องคดีได้แก่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรณีโครงการเขื่อนปากแบง (Pak Beng HPP) จะทำให้แม่น้ำโขง จ.เชียงราย กลายเป็นอ่างตะกอนพิษ เนื่องจากแม่น้ำกก สาย รวก โขง ปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน จากเหมืองแร่แรร์เอิร์ท แร่ทองคำ และแร่อื่นๆ ที่ต้นน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ในเอกสารเผยแพร่ของกลุ่มผู้ฟ้องระบุว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ลุ่มน้ำกก สาย และรวกในจังหวัดเชียงรายประสบปัญหามลพิษข้ามพรมแดนอย่างรุนแรง จากกรณีการปนเปื้อนสารโลหะหนักจากเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งเมียนมา สารปนเปื้อนที่พบหลัก ๆ ได้แก่ สารหนู (As) ตะกั่ว (Pb) ซึ่งถูกตรวจพบในน้ำและตะกอนของแม่น้ำกกและแม่น้ำสายสูงเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงแม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง เพราะน้ำที่ปนเปื้อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านปลายน้ำ สาเหตุสำคัญของการปนเปื้อนสารพิษครั้งนี้เชื่อมโยงกับกิจการเหมืองแร่บริเวณรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งดำเนินการโดยไม่มีการควบคุมตามกฎหมาย ทำให้สารเคมีและตะกอนที่ปนเปื้อนโลหะหนักจากเหมืองเหล่านี้ได้ถูกชะล้างลงสู่ลำน้ำ เมื่อไหลเข้าสู่ประเทศไทย
ในขณะเดียวกันการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนปากแบง ซึ่งจะสร้างกั้นแม่น้ำโขง ในแขวงอุดมไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว ห่างจากพรมแดนไทยที่แก่งผาได อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ประมาณ 97 กม. กำลังผลิตติดตั้ง 912 เมกกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟผ. เป็นเวลา 29 ปี แต่ดำเนินการโดยปราศจากการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary Impact Assessment) และผลกระทบเชิงสะสม (Cumulative Impact Assessment) อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ เป็นปัญหาใหม่ที่ยังไม่มีคำตอบในการป้องกันและแก้ไขที่กำลังซ้ำเติม ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนในพื้นที่ตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องละเลยมิได้ให้ความสำคัญ อันมีลักษณะเป็นการละเลยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงและลุ่มน้ำสาขา
“การปนเปื้อนโลหะหนักในสายน้ำกก–สาย–รวก-โขง ซึ่งแหล่งมลพิษ คือเหมืองในประเทศเพื่อนบ้านมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสารพิษที่พัดพามาจะถูกกักและตกตะกอนในอ่างน้ำหลังการก่อสร้างเขื่อนปากแบง ถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่ อันมีนัยสำคัญต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนและต่อสิทธิของประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายโดยตรง ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ในฐานะหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง จึงมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”กลุ่มผู้ฟ้องระบุ
กลุ่มผู้ฟ้องระบุด้วยว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงใหม่ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของ ผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary Harm) จากโครงการเขื่อนปากแบง และมิได้ดำเนินการทบทวนมติหรือสัญญาเพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเสียหาย ย่อมเป็นการละเมิดพันธกรณีของรัฐตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการกระทำที่ ขัดต่อหน้าที่คุ้มครองของรัฐ (State Duty to Protect) ตามกรอบกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นไว้แล้ว ทั้งในระดับนโยบายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ
ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 เห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ไม่ได้ดำเนินใดๆ ตามกฎหมายเกี่ยวกับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบง แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 จะไม่ใช่เจ้าของโครงการดังกล่าวก็ตาม แต่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและสาธารณะประโยชน์ และปกป้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและประชาชนชาวไทย ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ถือว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดต่อหลักการการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ทั้งตามกฎหมายในประเทศและต่างประเทศที่รัฐไทยต้องผูกพัน อันเป็นการส่งผลกระทบโดยตรงอย่างร้ายแรงต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสี่และประชาชน และทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าจึงขอศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษา ดังนี้ 1. ให้ กฟผ. ในฐานะผู้ทำสัญญา และ คพช. ในฐานะผู้อนุมัติให้ทำสัญญา ยกเลิก/เพิกถอนสัญญาซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนปากแบง 2. ให้เพิกถอนมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 เพื่อยกเลิกโครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเขื่อนปากแบง
- ยกเลิกการจัดการรับฟังความคิดเห็นจัดประชุมชี้แจงข้อมูลโครงการและรับฟังความคิดเห็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบง เมื่อเดือนมิถุนายน 2568
4 .ให้ออกมาตรการในการกำกับภาคเอกชนในการทำโครงการที่มีผลกระทบต่อประชาชนและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบข้ามพรมแดนโดยเร่งด่วน
5 ขอให้มีคำพิพากษาให้ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมาย ที่จะเป็นการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ชุมชน ประชาชน ในผลกระทบข้ามพรมแดนจากโครงการบนแม่น้ำโขง ให้หน่วยงานรัฐดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูเยียวยาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ที่แม่น้ำโขงพรมแดนไทยลาว อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ให้กลับคืนสภาพที่ปราศจากมลพิษ และดำเนินการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินในอนาคต โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน การดำเนินการดังกล่าวต้องถูกต้องตามหลักวิชาการ
อนึ่ง โครงการก่อสร้างเขื่อนปากแบงกั้นแม่น้ำโขงในประเทศลาวแขวงอุดมไซ ห่างจากชายแดนไทยด้าน อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย 97 กิโลเมตร คาดว่าจะทำให้เกิดน้ำเท้อมาถึงชายแดนไทยด้าน อ.เวียงแก่น และ อ.เชียงของ และจะท่วมชายหาดในฤดูแล้งของชุมชนฝั่งไทยหลายแห่ง

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.