ปัญหาการลักลบนำรถยนต์ข้ามไปขายยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านในอดีตมักจะพบว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมา ตามออเดอร์ขอลูกค้าแต่ในปัจจุบันทางบริษัทผู้จัดจำหน่ายรถยนต์และบริษัทประกันภัยได้มีมาตราการในการป้องกันรถยนต์สูญหาย ทำให้ขบวนการนำรถไปขายประเทศเพื่อนบ้านได้หันมาเลือกซื้อรถมีเจ้าของ แต่ใช้วิธีการหลบเลี่ยงภาษีในการส่งออก ซึ่งในพื้นที่ติดแม่น้ำโขงอย่าง อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และอ.เวียงแก่น จ.เชียงราย เป็นพื้นที่ซึ่งพบการกระทำผิดบ่อยครั้ง ซึ่งทางหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการกระทำผิดตลอดแนวแม่น้ำโขง สามารถทำการจับกุมและตรวจยึดรถยนต์ของกลางได้บ่อยครั้ง
น.ท.นันทพล นาคสุวรรณ หน.ยก.ขว.หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย เผยว่า ปัจจุบันขบวนการนำรถข้ามแม่น้ำโขงนั้นพบว่ามีการลักลอบบ่อยครั้งขึ้นถึงเดือนละประมาณ 10 คัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถทำการจับกุมได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะพบว่าขบวนการลักลอบนำรถข้ามแม่น้ำโขงนั้นจะลำเลียงรถจากฝั่งไทย แล้วลักลอบนำข้ามตามตลิ่งริมแม่น้ำโขง ตั้งแต่พื้นที่ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ซึ่งขบวนการนำรถข้ามแม่น้ำโขงนั้นจะอาศัยช่วงเวลาในการปฏิบัติการประมาณ 3 ชั่วโมงนับตั้งแต่การส่งรถมาตรวจสอบพื้นที่ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพื่อตรวจสอบว่าในพื้นที่ที่จะนำรถข้ามนั้นมีเจ้าหน้าที่อยู่หรือไม่ ก่อนจะนำเรือมาเทียบตลิ่งเพื่อรอรถที่จะข้ามมาขึ้นเรือ ก่อนจะนำข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน
“โดยที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่เองก็สามารถตรวจจับได้หลายครั้ง แต่จะยึดได้เพียงรถยนต์ของกลางเท่านั้น ซึ่งพบว่ารถประเภทกระบะยี่ห้อโตโยต้าจะเป็นที่นิยมมาก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เองได้ตรวจสอบแล้วพบว่ารถส่วนใหญ่ที่จะนำข้ามแม่น้ำโขงนั้นไม่ได้เป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาแต่เป็นรถที่มีเจ้าของและมีทะเบียนถูกต้องทุกอย่าง แต่เจ้าของต้องการที่จะนำข้ามฝั่งไปขายที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีเต็นท์รถมือสองในพื้นที่ จ.เชียงราย บางแห่งเข้าร่วมกับขบวนการนี้ด้วย และจากการตรวจสอบที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเองก็มีการเปิดเต็นท์รถขายรถยนต์มือสองเป็นจำนวนมาก และยังพบมีอู่ซ่อมรถบางแห่งที่รับเปลี่ยนพวงมาลัยจากบังคับขวา มาเป็นบังคับด้านซ้ายตามแนวชายแดน” น.ท.นันทพล กล่าว
สำหรับขบวนการนำรถข้ามแม่น้ำโขงนั้นในปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่ากลุ่มขบวนการได้พยายามเพื่อที่จะหาช่องทางริมแม่น้ำโขงตลอดแนวชายฝั่ง ตั้งแต่ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น ซึ่งจะหาทำเลที่อยู่ใกล้กับฝั่งตรงข้ามกับท่าเทียบเรือในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีแนวตลิ่งที่สูงชัน ซึ่งตรงข้ามกับชายฝั่งของประเทศไทย ซึ่งไม่สูงชันมากและสามารถลงไปได้เกือบตลอดทั้งแนวชายแดน ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการนำรถออกนอกประเทศ
ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ออกตรวจตราตามพื้นที่โดยได้ให้ความสำคัญกับการข่าวในพื้นที่เป็นหลักเนื่องจากแนวชายแดนริมแม่น้ำโขงมีเนื้อที่กว้าง กำลังพลไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งการจับกุมแต่ละครั้งทางเจ้าหน้าที่จะต้องติดตามพฤติกรรมของขบวนการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากการข่าวที่ดีแล้วยังจะต้องได้รับความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในพื้นที่ด้วย หากเจ้าหน้าที่เอื้ออำนวยกับขบวนการนี้การปราบปรามก็เป็นไปได้ยาก
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.