หลังจากที่มี นักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย ได้หลบหนีจากการไปฝึกประสบการณ์ตามโครงการความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยฯ กับองค์กรในประเทศเกาหลี ชื่อว่า “นิติบุคคล โอลไลฟ ประเทศเกาหลี” โดยกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวเป็นชายจำนวน 5 คนและหญิงจำนวน 3 คนอายุตั้งแต่ 16-22 ปี ที่ถูกส่งไปหาประสบการณ์ตามโครงการได้เดินทางกลับประเทศไทยก่อนกำหนดและไปร้องทุกข์กับศูนย์ดำรงค์ธรรม จ.เชียงราย ว่าถูกส่งไปทำงานหนักเหมือนแรงงานที่ไม่ใช่นักศึกษา และผู้หญิงถูกลวนลามรวมทั้งยังสงสัยว่ามีการจ่ายเงินค่าแรงงานของพวกเขาให้คนอื่นทั้งๆ ที่เป็นการฝึกประสบการณ์ที่ไม่มีการจ่ายเงิน โดยการสอบปากคำดำเนินไปเป็นวันที่ 2 เนื่องจากเด็กมีหลายคน และเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานโดยเฉพาะส่วนใหญ่ยังเป็นเยาวชนอยู่
โดยในวันนี้ นายเจริญ เชื้อเมืองพาน ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย พร้อมคณะอาจารย์ของวิทยาลัยได้ นำสื่อมวลชนไปดูโครงการความร่วมมือระหว่าง ไทย-เกาหลี ดังกล่าว ซึ่งเป็นองค์กรที่ร่วมมือกับวิทยาลัยในการพานักศึกษาไปหาประสบการณ์ที่ประเทศเกาหลี โดยมีการสร้างเป็นโรงเพาะสตอเบอรี่ขนาดใหญ่ จำนวน 2 โรง มีหลังคาทรงโค้ง และตาข่ายโลหะสำหรับปลูกพืช พร้อมระบบบำรุงรักษาพืช ปัจจุบันเก็บผลผลิตได้แล้ว และมีเด็กที่เคยไปฝึกงานในโครงการเดียวกันทำงานอยู่ภายใน
นายเจริญ เชื้อเมืองพาน ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงรายและผู้บริหารวิทยาลัยระบุว่าการส่งนักศึกษาไปฝึกประสบการณ์ดังกล่าวเป็นไปตามความร่วมมือกัน หลังจากนิติบุคคลดังกล่าวมีโครงการจะเข้ามาทำแปลงเกษตรใน จ.เชียงราย จึงได้ประสานความร่วมมือกับทางวิทยาลัยในการพาเด็กที่เรียนรู้ด้านการเกษตรอยู่แล้วไปฝึกประสบการณ์ที่ฟาร์มของตนเองที่เมืองซุงจู จ.ซุงซองบุกโด ประเทศเกาหลีใต้ จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงกันระหว่างนิติบุคคลดังกล่าวกับวิทยาลัยรวมถึงสำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จ.เชียงราย พาเด็กไปฝึกประสบการณ์ช่วงปิดภาคเรียนหรือซัมเมอร์ โดยก่อนจะส่งเด็กไปทางผู้อำนวยการวิทยาลัยคนก่อน รองผู้อำนวยการและคณาจารย์รวม 4 คนและผู้ประสานงานชาวไทยและเกาหลีได้เดินทางไปดูพื้นที่พบว่าตั้งอยู่ห่างจากเมืองปูซานประมาณ 600 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางจากกรุงโซลประมาณ 1 วัน
ก่อนหน้านี้มีการไปดูงานสถานที่พัฒนาการเกษตรของหน่วยงานภาครัฐ และดูฟาร์มของเอกชนแล้วพบว่าทันสมัยและสามารถสร้างประสบการณ์ให้นักศึกษาได้จึงพาส่งนักเรียนไปภายใต้ข้อตกลงที่ว่าฟาร์มที่เกาหลีใต้จะออกค่าเดินทางและค่ากินอยู่ของเด็กโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการว่าจ้าง จากนั้นจึงส่งนักศึกษารุ่นแรกเป็นชายไปก่อนจำนวน 2 คน ในปี 2558 เป็นเวลา 1 เดือน และรุ่นที่ 2 เป็นชายล้วนจำนวน 4 คนในปี 2559 เป็นเวลา 2 เดือนกว่า จนมาถึงงรุ่นที่ 3 กำหนดระยะเวลา 3 เดือนโดยจะครบกำหนดกลับวันที่ 22 มิ.ย.นี้ และเมื่อครบกหนดแต่ละคนก็ได้รับทุนการศึกษาคนละ 20,000 บาท แต่ได้เกิดปัญหานี้ขึ้นเสียก่อน ซึ่งยอมรับว่าตนก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงแต่ทราบข้อมูลจากการแจ้งของนักศึกษาทางไลน์กลุ่มที่มีร่วมกันระหว่างฝึกงานและจากข่าวสาร เพราะหลังจากกลับจากเกาหลีใต้แล้วนักศึกษาที่ยังไม่ได้เดินทางไปยังวิทยาลัยแต่กลับไปร้องทุกข์กับศูนย์ดำรงค์ธรรมแทน
ขณะนี้ทางวิทยาสลัยฯ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงภายในวิทยาลัย 1 ชุดและสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคเหนือก็จะตั้งคณะกรรมการอีก 1 ชุด ซึ่งก็จะทำให้ได้ข้อเท็จจริงต่อไป เพราะที่ผ่านมามีเพียงคำให้การของเด็กผ่านไลน์ ซึ่งเมื่อตนได้รับทราบมาตั้งแต่เด็กอยู่ที่เกาหลีใต้ และตนเองก็รู้สึกร้อนใจรีบแจ้งผู้ประสานงานให้บินไปยังเกาหลีใต้เพื่อแก้ไขปัญหา จนกระทั่งวันที่ 12 มิ.ย.ก็ได้รับแจ้งจากสถานเอกอัคราชฑูตไทยที่เกาหลีใต้ว่าได้มีนักศึกษาของเราออกจากฟาร์มชาวเกาหลีไปอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่และอยากจะกลับประเทศไทยแล้ว ตนจึงรีบแจ้งผู้ประสานงานทำให้นายคัง แดยูน ผอ.นิติบุคคลฯ และเจ้าของฟาร์มก็รีบบินมาพบตนที่วิทยาลัยเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.แล้วบอกว่าพวกเขาไม่สบายใจและให้เหตุผลว่าไม่ได้ลวนลามแต่เป็นทำเนียมของชาวเกาหลีที่เมื่อเอ็นดูเด็กจะโอบกอดกันบ้าง
“ส่วนเรื่องเงินค่าจ้างได้รับแจ้งจากเจ้าของฟาร์มว่าเด็กๆ ได้สอบถามแต่เนื่องจากสื่อสารกันด้วยภาษาเกาหลีไม่ได้ เด็กจึงใช้แอพพริเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือแปลภาษาแล้วตีความไปว่าเจ้าของฟาร์มได้จ่ายเงินค้าจ้างให้ผู้ประสานงานแล้วจึงใช้งานพวกเขาได้ ทั้งๆ ที่เจ้าของฟาร์มบอกเพียงว่าได้จ่ายค่าเครื่องบินและดูแลตามโครงการจึงให้เด็กทำงานในฟาร์มเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องตรวจสอบกันต่อไป โดยหากต้องดำเนินโครงการต่อไปต้องทำรายละเอียดการส่งนักศึกษาไปให้ละเอียด เช่น เรื่องการฝึกภาษาซึ่งยอมรับว่าระยะเวลาสั้นเพียงแค่ 3 เดือนนั้นกระชั้นชิดเกินไป ทำให้มีความชัดเจนเรื่องตารางการฝึกงานในแต่ละวัน การใช้ชีวิตของนักศึกษาหญิง เป็นต้น” ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย
ด้านนายสุกิจ มาลัยรุ่งสกุล รองผู้อำนวยการวิทยาลัยฯ ผู้ดูแลโครงการ กล่าวเพียงว่า สถานที่ที่เด็กไปฝึกประสบการณ์ตามข้อตกลงมีอยู่ 3 จุดคือฟาร์มพืชผักและข้าวอินทรีย์ แปลงสตอเบอรี่ และฟาร์มโคเนื้อ ซึ่งทางตนและผู้บริการได้ไปดูพื้นที่แล้วพบว่าสามารถฝึกประสบการณ์เด็กได้จึงส่งเด็กไปฝึกงาน
ด้านนายวัชรพล สิงหากัน หัวหน้าสาขาวิชาพืชศาสตร์ วิทยาลัยฯ กล่าวว่าเด็กรุ่นที่ 1 และ 2 ไม่พบปัญหามากนัก เพราะทางนิติบุคคลดังกล่าวได้ส่งคนไปฝึกภาษาให้เด็กก่อนล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน รวมทั้งเป็นผู้ชายทำให้ปัญหาไม่ค่อยมีมากนัก ส่วนบันนักศึกษาที่ไปฝึกงานรุ่นที่ 2 จำนวน 1 คนก็ทำงานอยู่ในแปลงเพาะสตอเบอรี่ของนิติบุคคลดังกล่าวภายในวิทยาลัยนั่นเอง ส่วนรุ่นที่ 3 ไม่มีการอบรมเรื่องภาษาจึงอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ดังกล่าวซึ่งตนอยากจะพบนักศึกษากลุ่มนี้มากเพราะสนิทกันดีจะได้สอบถามข้อมูลแต่ก็ยังไม่พบเด็กเลยโดยติดต่อครั้งล่าสุดผ่านไลน์เมื่อ อยู่ในเกาหลีใต้เท่านั้น และเชื่อว่าจะได้พบเด็กเพราะจะถึงเวลาลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนใหม่ในวันจันทร์ที่ 19 มิ.ย.นี้ซึ่งทุกคนจะต้องไปลงทะเบียน
น.ส.อัมพร เต๊นคำ นักศึกษาชั้นประกาศนียวัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปีที่ 2 สาขาวิชาพืชศาสตร์ กล่าวว่ายืนยันว่ามีการลวนลามร่างกายเพราะเมื่อครั้นอยู่ที่เกาหลีใต้กลุ่มนักศึกษาหญิงส่วนใหญ่จะอยู่ฟาร์มเดียวกัน และได้มีคนในนิติบุคคลดังกล่าวมักจะเข้าไปโอบกอดนักศึกษาที่เป็นหญิงซึ่งแรกๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเขาบอกว่าเป็นธรรมเนียมของชาวเกาหลี แต่เมื่อสังเกตุเห็นคนอื่นๆ ที่เป็นชาวเกาหลีก็ไม่เห็นทำกัน นอกจากนี้เมื่อนั่งรถไปด้วยกันก็มักจะเอามือมาวางตรงขาอ่อนและลูบคลำลักษณะไม่ใช่เอ็นดู รวมทั้งพยายามมาหาตอนเช้าและกลางคืนแล้วชอบกอดหอมแก้ม ทำให้พวกตนทนไม่ไหวจึงแจ้งอาจารย์แต่เมื่อไม่ได้รับการแก้ไขจึงแจ้งตำรวจเกาหลี และพากันไปยังสถานเอกอัคราชฑูตไทย ให้ช่วยเหลือกลับดังกล่าว โดยวันจะเดินทางกลับตนไม่มีเงินเหลือเลยต้องเดินเท้าจากมูลนิธิแห่งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่พาไปพักเพื่อไปยังสถานเอกอัคราชฑูตระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร เพื่อจะได้ถูกส่งตัวกลับประเทศไทย
ด้านนายสุทิน อนุชิตวรการ นักศึกษา ปสว.ปีที่ 2 สาขาวิชาช่างเกษตร กล่าวว่าพวกตนทำงานตั้งแต่เวลา 07.00น .- 19.30 น. บางวันทำงานตั้งแต่เช้ามืดถึงค่ำซึ่งถูกใช้งานหนักมาก ทั้งขนของหนักที่เป็นไม้ โลหะ ซึ่ง ไม่ตรงกับสายงานเลยลักษณะจึงเหมือนเป็นแรงงานไม่ใช่ไปฝึกหาประสบการณ์เลยจึงพากันออกมาของความช่วยเหลือเพื่อกลับประเทศไทย
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.