พระเทพสิทธินายก เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์(พระอารามหลวง) เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย “การให้ไม่วันหมดอายุ”

220

14606342_1190336257720522_6372025001725916342_n

 

วันนี้จะพาท่านมารู้จักกับพระที่มีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดา แต่การปฏิบัติตัวของท่านต่อพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปนั้นแสนจะธรรมดา แต่กิจของสงฆ์ที่ท่านปฏิบัติทุกวันกับไม่ธรรมดา พระที่เรากำลังจะเขียนถึงท่านวันนี้ก็คือ พระเทพสิทธินายก เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์(พระอารามหลวง) เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย พระผู้ที่ถือคติประจำใจคือ “การให้ไม่วันหมดอายุ” ที่เขียนเช่นนี้เพราะว่า ทุกครั้งที่ไปกราบนมัสการและสนทนาธรรมกับท่านไม่เฉพาะผู้เขียนเท่านั้นทุกท่านที่ได้มีโอกาสได้ไปกราบท่านก็จะได้รับเหมือนกันนั่นก็คือการให้

ให้อย่างแรกคือให้การทักทายเหมือนกับเราคือญาติสนิทของท่าน

ให้ที่สองคือให้น้ำชา ที่ท่านบรรจงรินให้ด้วยมือของท่านด้วยความเมตตา

ให้อย่างที่สามให้ความเป็นกันเองเหมือนกับท่านไม่ได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด

ให้ที่สี่คือ ให้เวลากับทุกคนที่ไปสนทนากับท่านถ้าท่านมีเวลาไม่ว่าท่านจะเป็นใครมาจากไหน

14681030_1190337014387113_470466122990325303_o

และนอกจากนั้นท่านจะให้ความสบายใจตลอดระยะเวลาของการที่ได้สนทนากับท่านไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่นไหน จึงทำให้ผู้เขียนเริ่มนึกถึงคำว่า ท่านคือ “พระที่เมื่อได้เห็นก็เป็นบุญตา ยิ่งได้สนทนาก็เหมือนเป็นบุญปาก ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดอุปฐากก็ยิ่งมีความสุข” จนต้องเอามาเขียนเพื่อให้ทุกท่านได้มารู้จักกับพระที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดา แต่การปฏิบัติตัวของท่านต่อพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปนั้นแสนจะธรรมดา แต่กิจวัตรของท่านในฐานะพระสงฆ์ที่ปฏิบัติทุกวันกับไม่ธรรมดา ทุกครั้งที่ได้มากราบนมัสการท่านและได้สนทนากับท่านจึงได้รู้ที่มาของคำว่าการให้ของท่านไม่มีวันหมดอายุ คือท่านให้ทุกวัน ให้ทุกอย่าง ให้ทุกคน แม้เวลาสนทนาท่านก็ให้ธรรมะกับผู้ร่วมสนทนาเพื่อให้คลายจากความทุกข์การให้ของท่านนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีของคนทั่วไปการให้ของท่านเท่าที่ได้เห็นผู้เขียนพอสรุปออกเป็น  ๕ อย่างคือ ๑ .ให้เวลา ๒.ให้การศึกษา ๓.ให้โอกาส ๔.ให้ขวัญกำลังใจ ๕. ให้ปัจจัย(เงิน) ๖.ให้ทั้งชีวิตและจิตใจกับพระพุทธศาสนา ทั้ง ๖ ให้ของหลวงพ่อผู้เขียนขอแยกเขียนให้ทุกท่านได้อ่านแต่ละข้อดังนี้ คือให้

17759812_1383341471753332_9028819295497048900_n

ข้อ ๑. ให้เวลา ท่านบอกว่าในแต่ละวันของท่านนั้นแบ่งเวลาออกเป็นสองส่วนคือ เวลาสำหรับตัวเอง และ เวลาสำหรับพุทธศาสนิกชน หลวงพ่อท่านได้ให้เวลากับตัวเองในการปฏิบัติศาสนกิจของสงฆ์ตั้งแต่ตี ๕ ของทุกๆวันเพราะหลวงพ่อท่านจะตื่นมาเคาะระฆังทำวัตรตั้งแต่ตี ๕ เพื่อเริ่มต้นเวลาของท่านด้วยการทำวัตรเช้าร่วมกับพระเณรวัดพระสิงห์เสร็จแล้วก็ทำเจริญจิตรภาวนาแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายก่อนที่จะนำพระเณรออกรับบิณฑบาตรจากญาติโยม ส่วนตอนเย็นท่านก็จะให้เวลากับตัวเองอีกครั้งหนึ่งเวลา ๖ โมงเย็น ท่านก็จะนำพระเณรและพุทธศาสนิกชนร่วมทำวัตรเย็นและเจริญจิตรภาวนาแผ่เมตตาแล้วก็ให้ธรรมะกับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำวัตรทุกวันเป็นอย่างนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปีไม่วันหยุดนอกจากท่านอาพาธจนไม่สามารถทำได้เท่านั้นแหละจึงจะเป็นวันหยุดในการทำกิจของสงฆ์ที่ว่านี้ และท่านเล่าว่าก่อนนอนทุกคืนคือเวลาที่ท่านให้ความสำคัญมากนั่นก็คือการปฏิบัติธรรมก่อนนอนด้วยการปฏิบัติธรรมตามหลักของสติปฐาน ๔ เป็นอย่างนี้ทุกคืน ผู้เขียนได้ถามท่านว่า แล้วเวลาสำหรับพุทธศาสนิกชนท่านปฏิบัติอย่างไร หลวงพ่อท่านเล่าว่า ทุกๆวันตั้งแต่เสร็จจากทำวัตรเช้าก็จะเป็นเวลาสำหรับพุทธศาสนิกชนนั่นก็คือการออกบิญฑบาตรเพื่อโปรดญาติโยมพุทธศาสนิกชน ท่านเล่าว่า การออกรับบิณฑบาตรนั้นมีประโยชน์หลายประการ คือ ได้พบปะกับญาติโยมที่ไม่มีโอกาสมาที่วัดและเป็นการบิณฑบาตรคน ทำให้คนเลื่อมใสในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเพื่อทำกิจของสงฆ์คือการออ กรับบิณฑบาตตามพระวินัย สุดท้ายยังได้ออกกำลังกายเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ในตอนเช้าๆอีกด้วย หลวงพ่อท่านเล่าให้ผมฟังด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสท่านหัวเราะและยิ้มไปด้วยอย่างมีความสุข ท่านบอกว่าวันไหนถ้าไม่ได้ออกรับบิณฑบาตรก็เหมือนกับว่าชีวิตของการเป็นพระมันขาดอะไรไปในชีวิตประจำวัน ผมสังเกตเห็นใบหน้าของท่านกับพระที่มีอายุพรรษาถึง ๗๘ ปี แล้วผมยิ่งเชื่อในสิ่งที่ท่านพูดและเริ่มศรัทธาในตัวท่านมาก ใบหน้าและแววตาของท่านนั้นผ่องใสไม่น่าเชื่อว่าท่านอายุเกือบ ๘๐ ปี นี่คงเป็นเพราะอนิสงส์การออกบิณฑทบาตรทุกวันและการปฏิบัตธรรมของท่านจึงส่งผลให้เมื่อใครได้เห็นแล้วก็รู้สึกสัมผัสได้กับสิ่งที่ท่านได้ปฏิบัติเหมือนอย่างที่ท่านได้เล่ามาแววตาที่สุกใสเปี่ยมไปด้วยความเมตตาใบหน้าที่ผุดผ่องรอยยิ้มที่เห็นแล้วยากที่จะลืมได้  ท่านอาจเป็นพระผู้ใหญ่เพียงไม่กี่รูปที่มีตำแหน่งถึงเจ้าคณะจังหวัดแต่ยังออกบิณฑบาตรโปรดญาติโยมทุกวันแม้วันนี้จะอายุใกล้จะ ๘๐ แล้วท่านก็ยังทำอยู่ทุกวัน ถ้าท่านมีโอกาสเดินทางมาจังหวัดเชียงราย ท่านก็จะเห็นพระที่มีอายุมาก รูปหนึ่งที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเดินอุ้มบาตรนำหน้าพาพระเณรได้ทำกิจของสงฆ์ด้วยการบิณฑบาตรโปรดญาติโยมทุกเช้าของทุกวันในตัวเมืองเชียงรายซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากมากในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านได้เล่าต่อว่า หลังจากฉันเช้าเสร็จก็นั่งรับญาติโยมที่มาหามาสนทนาธรรมบ้าง มาปรึกษาหารือบ้าง  เป็นอย่างนี้ทุกวัน เท่าที่สังเกตดูหลวงพ่อท่านมีความสุขมากกับการได้ทำสิ่งนี้ในทุกๆวันและให้

ข้อที่ ๒ คือให้การศึกษา หลวงพ่อเล่าว่าด้วยชีวิตตอนเป็นเด็กที่ค่อนข้างลำบากและยากจนเพราะอยากจะเรียนหนังสือจึงได้ขออนุญาตพ่อกับแม่มาบวชเป็นสามเณรและดั้นด้นมาอยู่ที่วัดพระสิงห์แห่งนี้ถึงมีโอกาสได้เรียนหนังสือและก็ได้เรียนหนังสือสมดั่งความตั้งใจ และเมื่อวันหนึ่งเพราะการศึกษาทำให้หลวงพ่อมีวันนี้  ท่านจึงอยากให้โอกาสคนที่อยากศึกษาเพราะเห็นความลำบากของท่านในตอนเป็นเด็กและตอนเป็นสามเณรดังนั้นสิ่งที่ท่านอยากทำเป็นอันดับแรกคือเรื่องการศึกษาวันนี้จึงอยากให้ผู้ที่ใฝ่ศึกษาได้เรียนหนังสือท่านจึงได้สร้างโรงเรียนเพื่อให้พระเณรที่สนใจในด้านพระพุทธศาสนามาศึกษานักธรรมบาลีที่วัดของท่านจนสถานที่แห่งนี้ได้ผลิตบุคลากรที่มีคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสังคมมากมายและที่ท่านภาคภูมิใจมากที่สุดคือสถานที่แห่งนี้ได้สร้างพระที่เป็นที่พึ่งของสังคมระปัญญาชนของประเทศไทยอย่างแท้จริงนั่นก็คือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือที่เรารู้จักในนาม ท่าน ว.วชิรเมธี  ซึ่งเป็นผลิตผลจากสถานศึกษาที่ท่านได้ ก่อตั้งขึ้นมา พอท่านพูดถึงตรงนี้ ผมสังเกตุเห็นแววตาท่านมีประกายสุกใส และรอยยิ้มที่มุมปากของท่านเหมือนกับท่านได้พูดอยู่ในใจ ว่าเรื่องการศึกษาที่ท่านอยากทำและได้ทำสมปราถนาประสบความสำเร็จแล้วเพราะโรงเรียนของท่านสามารถผลิตบุคลากรที่มีคุณต่อพระพุทธศาสนา ประเทศชาติและสังคมที่มีคนรู้จักทั่วประเทศตลอดถึงต่างประเทศและเป็นที่พึ่งของสังคมทางด้านปัญญาอย่างแท้จริงนั่นก็คือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี ที่เรารู้จักกัน  ให้

ข้อที่ ๓ คือให้โอกาส หลวงพ่อท่านได้ให้โอกาสกับทุกคนที่ต้องการโอกาสในทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องการทำงาน เรื่องศึกษา ตามความต้องการของพระเณร ทุกรูปที่มาอาศัยอยู่กับท่าน  ไม่ว่าพระหรือสามเณรรูปนั้นจะมาจากภาคไหนของประเทศไทย เราจะสังเกตเห็นว่าวัดของท่านจะมีพระที่มาอาศัยอยู่เกือบทุกภาค ไม่ว่า ภาคอิสาน ภาคใต้ ภาคกลางและภาคเหนือ หรือแม้แต่เด็กชาวเขา ชาวดอย ท่านก็ให้โอกาสกับทุกคนเท่าเทียมกันไม่เลือกว่าเป็นใครมาจากไหน ท่านให้โอกาสด้วยหลักของพรหมวิหาร ๔   และท่านยังได้สอนพระทุกรูปเณรทุกองค์ว่าจะทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุดโดยท่านได้ยกภาษิตล้านนามาพูดให้ฟังว่า “ขึ้นห้วยหื้อมันสุดขุน” หมายความว่าจะทำอะไร จะเรียนอะไรก็ขอให้ตั้งใจทำ  ตั้งใจเรียน อย่าทำไปเล่นไป หรือทำไม่จริง จะทำให้เสียเวลาและท่านก็ยกตัวอย่างให้เห็นเช่น  พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี  ให้ทุกคนได้ฟังอยู่เสมอ นอกจากนั้นท่านยังให้โอกาสกับพระเณรที่เดินทางผิดพลาดเมื่อกลับมาหาหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อก็ยังให้โอกาส  ให้เป็นคนดีได้เหมือนเดิม โดยพิจารณาตามหลักของ โยนิโสมนสิการทั้ง ๑๐ ประการ โดยไม่แสดงความรังเกียจ นี้แหละ คำว่าให้ไม่มีวันหมดอายุสำหรับหลวงพ่อ ให้

ข้อที่ ๔ คือให้ขวัญกำลังใจ หลวงพ่อท่านแม้จะมีอายุมากเกือบ ๘๐ ปี แล้ว แต่ทุกวันนี้ท่านก็ยังออกให้ขวัญกำลังใจกับญาติโยมและพระสงฆ์ทั่วทั้งจังหวัดเชียงรายโดยวันไหนที่มีเวลาท่านก็จะเดินทางไปตามอำเภอ และตำบลต่างๆ  โดยเฉพาะวัดบ้านนอก ชนบท หลวงพ่อท่านจะไปเยี่ยมเยียนเพื่อให้ขวัญกำลังใจในการทำงานของพระสงฆ์ ยิ่งในช่วงเวลานี้ท่านได้จัดโครงการ “ศีล ๕ สัญจร บวรร่วมมือ” ตามโครงการ หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ระยะที่ ๓ ที่เป็นระยะคุณภาพ ซึ่งเป็นโครงการที่ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ให้ทำทั่วราชอาณาจักรไทย หลวงพ่อยิ่งต้องออกไปเยี่ยมคณะสงฆ์และพุทธศานิกชนแทบทุกวัน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พระที่ปฏิบัติหน้าที่ได้รับกำลังใจในการทำงาน ท่านบอกว่า ไม่มีเงิน ไม่มีสิ่งของก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานก็ถือว่าใช้ได้  ให้

ข้อที่ ๕ คือให้ปัจจัย(เงิน) หลวงพ่อท่านถือว่าเป็นพระผู้ใหญ่ในตำแหน่งหน้าที่  ที่ได้รับแต่งตั้งมาแต่ว่าปฏิปทาของท่านกับเป็นยิ่งกว่าพระธรรมดาทั่วไป ที่แทบจะไม่มีอะไรเลย คือท่าน ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์สำหรับพระสงฆ์และคนทั่วไป ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าพบและสนทนากับท่านได้ตลอดเวลา ไม่มีคำว่ารังเกียจจะยากดีมีจนหรือคนคนทั่วไปหรือแค่เป็นพระ ธรรมดาถ้าท่านมีเวลาไปนั่งสนทนากับท่านได้ท่านมีเวลาสำหรับทุกคนตลอดเวลา  ท่านมักพูดเสมอว่าเราคือคนเหมือนกัน  กินข้าวเหมือนกัน หัวเราะเหมือนกัน รอ้งให้เหมือนกัน และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องตายเหมือนกันแล้วจะมา แบกหามเรื่องพวกนี้ไว้ทำไมนี่แหละทำให้ผู้เขียนถึงกล้าบอกกับทุกท่านว่า วันนี้หลวงพ่อไม่มีอะไรเลย  โดยเฉพาะเรื่องเงินหรือปัจจัย เงินที่รับกิจนิมนต์ได้ท่านให้หมด ให้วัดในชนบทที่ขาดแคลน ให้ทุนการศึกษาทั้งพระเณรและเด็กที่ด้อยโอกาส ให้โรงพยาบาล ให้ชาวบ้านที่ยากจน ให้กับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้จนวันนี้หลวงพ่อไม่มีอะไร จะให้  อาจพูดได้ว่าวันนี้หลวงพ่อคือเจ้าคณะจังหวัดที่จนที่สุดด้านเงินทองก็ว่าได้ แต่ท่านกับร่ำรวยที่สุดด้านน้ำใจและความเมตตาและความรักจากพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ท่านได้พูดกับผู้เขียนว่า “เราสอนคนอื่นเช่นไร เราต้องปฏิบัตตนเช่นคำที่เราสอนเขานั้น” ดังนั้นวันนี้ท่านจึงเป็นพระที่นั่งอยู่ในหัวใจของผู้ที่ได้รู้จักและได้สนทนากับท่านทุกคน ให้

ข้อที่ ๖ ให้ทั้งชีวิตและจิตใจกับพระพุทธศาสนา หลวงพ่อบอกว่า ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่มีผ้าเหลือง ไม่รู้ว่าวันนี้จะยังมีลมหายใจอยู่อีกหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะอ่านออกเขียนได้ หรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะได้สร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ ศาสนา และสังคมหรือเปล่า

เพราะพระพุทธศาสนาให้โอกาสจึงทำให้หลวงพ่อมีโอกาสในวันนี้

เพราะพระศาสนาให้โอกาสหลวงพ่อบอกว่าจึงมีโอกาสได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์มากมายหลายรุ่นให้ทำงานเพื่อสังคม

เพราะพุทธศาสนาให้โอกาสจึงทำให้หลวงพ่อได้รับโอกาสในการมาทำหน้าที่เป็นเจ้าคณะจังหวัดเพื่อดูแลคณะสงฆ์และพุทธศาสนิชนในจังหวัดเชียงราย

เพราะพระพุทธศาสนาให้โอกาสหลวงพ่อท่านจึงได้มีโอกาสเรียนรู้หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาจนเข้าใจในสัจจะธรรมของชีวิต

ด้วยเหตุนี้หลวงพ่อจึงมีคติประจำใจของท่านอีกอย่างหนึ่งคือ “ทุกลมหายใจที่เหลือ จะขอทำงานเพื่อทดแทนคุณพระศาสนา” ที่ได้ให้โอกาสกับหลวงพ่อมา ท่านจึงทำงานเพื่อพระศาสนาอย่างไม่ย่อท้อและเหน็ดเหนื่อย ถึงแม้บางครั้งจะพบกับอุปสรรคท่านก็ยังสู้ และท่าน สู้ในวันนี้ที่อายุย่าง ๗๘ เหลืออีกสองปีท่านบอกว่าก็จะขอทำงานเพื่อให้โอกาสกับตัวเองบ้างคือวิปัสนาธุระที่ท่านปราถนาในช่วงปัจฉิมวัยของท่าน อย่างจริงจัง หลังจากที่ได้ทำงานด้าน คันถธุระให้กับพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์มาโดยตลอด

นี่คือพระที่พาทุกท่านมารู้จักวันนี้ พระเทพสิทธนายก เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย  พระที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดา แต่การวางตัวของท่ายิ่งกว่าพระธรรมดา แต่ การปฏิบัติหน้าที่ของสงฆ์ในแต่ละวันนั้น ไม่ธรรดา หากทุกท่านมีโอกาสเดินทางมาจังหวัดเชียงรายเมืองสุดเขตชายแดนของประเทศไทยถ้ามีเวลาขอเรียนเชิญท่านไปกราบนมัสการสนทนาธรรมกับท่าน แล้วจะรู้ว่าบทความที่เขียนนี้มีความจริงมากน้อยขนาดไหน หลวงพ่อท่านอาจจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศไทย แต่หลวงพ่อท่านเป็นพระดีที่เรากราบได้สนิทใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้สนทนากับท่าน หลวงพ่อท่าน อาจไม่ได้เป็นพระอรหันต์ของใคร แต่วันนี้ท่านได้เป็นพระอรหันต์ที่อยู่ในใจของผู้เขียนและผู้ที่ได้มีโอกาสได้สนทนากับท่าน   พระเทพสิทธินายก  พระผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งไม่  ธรรมดา แต่การวางตัวของท่านยิ่งกว่าพระ ทำ-มะ-ดา แต่การปฏิบัติหน้าที่ของสงฆ์กับ

ไม่ ธรรมดา

แสดงความคิดเห็น

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.