เจ้าอาวาสวัดดังขอนแก่นร่ำไห้ หลังชาวบ้านยื่นฟ้องขอที่ดินวัดคืน ขณะที่ศาลฎีกาสั่งยกฟ้อง แต่ลูกเจ้าของที่ดินยังสู่ต่อที่ศาลแพ่ง ด้านชุมชนเผยวัดทำถูกต้องและเจ้าอาวาสต่อสู้เพื่อพุทธศาสนาพร้อมเปรยหากสิ้นชีวิตฝากวัดให้ชุมชนช่วยดูแลรักษาต่อ เพราะเป็นที่ดินทำเลทอง
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 28 ส.ค.2568 ที่ศาลาการเปรียญวัดป่าอดุลยาราม ม.16 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตรงข้ามมหาวิทยาลัยขอนแก่น พระครูอดุลย์สารนิเทศ เจ้าอาวาสวัดป่าอดุลยาราม นำคณะสงฆ์ของวัดรวม 15 รูป ร่วมกันชี้แจงคำสั่งศาลฎีกาและศาลแพ่ง ให้กับกรรมการชุมชนและประชาชนในเขต ชุมชนหนองแวงตราชู 1-6,ชุมชนสามเหลี่ยม 1-5,ชุมชนวัดป่าอดุลยารามและชุมชนมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับทราบภายหลังศาลฎีกาและศาลชั้นต้นของศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องกรณีนางบัวไข สรสมุทร ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเฮียง พิมพ์ศรี ยื่นฟ้องวัดป่าอดุลยาราม,เจ้าพนักงานที่ดินขอนแก่นและเทศบาลนครขอนแก่น เพื่อขอที่ดินของวัดคืนให้กับครอบครัวรวมเนื้อที่ 26 ไร่ โดยศาลฎีกา และศาลชั้นต้นของศาลแพ่งมีคำพิพากษายกคำร้อง ซึ่งขณะนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์ศาลแพ่ง ท่ามกลางความสนใจของชาวชุมชนที่ทราบข่าวเข้าร่วมรับฟังและร่วมตรวจสอบเอกสารคำสั่งศาลตามที่วัดนำมาชี้แจงให้กับชุมขนได้รับทราบ
พระครูอดุลย์ สารนิเทศ เจ้าอาวาสวัดป่าอดุลยาราม กล่าวว่า มาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้เมื่อปี 2533 ขณะนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์อยู่ โดยนายเฮียง พิมพ์ศรี ได้มามอบที่ดินจำนวน 21 ไร่ให้เพื่อทำวัด ซึ่งวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของทางราชการอย่างถูกต้องและใรปี 2541 วัดได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง จากกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น ซึ่งตลอดระยะเวลาของการดำเนินงานของวัดร่วมกับชุมชน ตั้งแต่ปี 2533-2546 อยู่กันอย่างสงบสุข วัด บ้านโรงเรียนอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย มีกิจกรรมวันสำคัญต่างๆหรืองานในทางพุทธศาสนา หรืองานร่วมกับหน่วยงานต่างๆก็ดำเนินงานร่วมกันด้วยดี โดยเฉพาะกับเรื่องของการรักษาธรรมชาติและคงไว้ซึ่งพันธุ์ไม้นานาชนิดเรียกได้ว่าวัดของเรานั้นอุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้และความร่มรื่นในเขตเมืองและที่สำคัญคือเรื่องของการฌาปนกิจผู้ยากไร้วัดเราทำมาตลอด โลงฟรี รถฟรี จัดงานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย หรือหากมีก็ตามกำลังของเจ้าภาพ
“พอมาปี 2547 โจทก์คือนางนาง หรือน้อย พิมพ์ศรี ภรรยาของนายเฮียง พิมพ์ศรี เจ้าของที่ดินได้ฟ้องขับไล่วัดป่าอดุลยาราม เพื่อขอคืนที่ดินของวัด 2 แปลง แปลงแรกจำนวน 21 ไร่ 3 งาน 61 ตารางวา และอีกแปลง 5 ไร่ ซึ่งขณะนั้นที่ดิน 21 ไร่กว่ามีโฉนดที่ดินชัดเจนและเป็นที่ตั้งของวัด ส่วนอีก 5 ไร่ยังไม่ออกฉโนด แต่เป็นที่ตั้งของสำนักชี ซึ่งการต่อสู้ทางคดี วัดกับโจทก์ก็ดำเนินการไปจนศาลชั้นต้นยกฟ้องคดี โจทก์จึงยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ยกคำร้องจนกระทั่งมาถึงศาลฎีกา ซึ่งศาลมีคำสั่ง ที่ 9024/2555 ลงวันที่ 10 ก.ค.2555นางบัวไข สรสมุทร ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเฮียง พิมพ์ศรี ได้ยื่นฟ้องขับไล่วัดอีก ซึ่งศาลฎีกา มีคำสั่งยกคำร้อง
“ศาลฎีกาท่านให้เหตุผลว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาท นั้นเห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยชอบด้วยเหตุผลแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยอีกทั้งฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฏีกา ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินขอนแก่น ต่อศาลปกครองก่อนที่ศาลปกครองจะส่งต่อศาลแพ่ง ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 คือเจ้าพนักงานที่ดินขอนแก่น,จำเลยที่ 2 คือเทศบาลนครขอนแก่นและจำเลยที่ 3 คือวัดป่าอดุลยาราม เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2567 ข้อหาใช้ที่ดิน เพิกถอนนิติกรรม ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งศาลชั้นต้นยกคำร้องและโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี”
พระครูอดุลย์สารนิเทศ กล่าวต่อว่า อาตมาอายุมากแล้วทำทุกอย่างอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณร์และศาลฎีกา ของศาลจังหวัดขอนแก่นได้ยกคำร้องและวัดชนะ อีกทั้งศาลชั้นต้นของศาลแพ่งพิจารณายกคำร้องเช่นกัน และโจทก์คือภรรยาและลูกสาวของผูเเสียชีวิตที่มอบที่ดินนั้นได้ยื่นอุทธรณ์ซึ่งก็เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย การชี้แจงทำความเข้าใจกับญาติโยมทุกชุมบรที่อยู่โดยรอบของวัดวันนี้เป็นการทำความเข้าใจและนำสิ่งที่ถูกต้องและเอกสารคำสั่งศาลมาแสดงต่อสาธารณะชนและสื่อมวลชน เพื่อให้ชุมชน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มาร่วมกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา มาร่วมกันปกป้องพระภิกษุที่จำวัด 15 รูป มาร่วมกันปกป้องและรักษาไว้ซึ่งวัดของชุมชนที่ทีเอกสารต่างๆถูกต้องมีคำสั่งศาลชัดเจน เพราะทราบกันว่าวัดเรานั้นตั้งอยู่ในเขตเมือง เป็นพื้นที่ทำเลทอง อาตมาขึ้นโรง ขึ้นศาล มาหลายสิบปี อายุมาก ชราภาพ และมีโรคประจำตัวจะอยู่ปกป้องวัดคู่เมืองขอนแก่นแห่งนี้ได้อีกไม่นานจึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้หน่วยงานรัฐ เอกชน ชุมชนและทุกภาคส่วนได้ร่วมกันรักษาวัดแห่งนี้ไว้ต่อไป
ด้านนายอดุลย์ พลธานี อายุ 77 ปี อยู่บ้านเลขที่ 203/5 ม.14 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ตนเองและครอบครัวมาทำกิจกรรมและอยู่กับวัดแห่งนี้มาหลายสิบปี ทราบถึงเรื่องการฟ้องร้องมาตลอด วันนี้ความกระจ่างปรากฎแล้วตามคำสั่งศาลที่ท่านได้นำมาเสนอต่อสาธารณะชนและสื่อมวลชน และการที่ท่านเจ้าอาวาสออกมาพูดทั้งน้ำตา นั้นก็หวังจะให้วัดแห่งนี้อยู่คู่เมืองขอนแก่นต่อไป ซึ่งชุมชนรอบข้างวัดกว่า 20 ชุมชนรับทราบและเข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและจะนำความชัดเจนจากเอปสารคำสั่งศาลนี้แจ้งให้กับชุมชนได้รับทราบ
“วัดแห่งนี้อยู่กับชุมชนมาหลายสิบปี ดำเนินกิจกรรมต่างๆร่วมกันมาตลอดญาติโยมมีทั้งคนสูงอายุ วัยทำงาน วัยหนุ่มสาว นักเรียน นักศึกษาและเด็กๆมาทำกิจกรรมร่วมกันตลอด เพราะวัดอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย อยู่ในย่านชุมชนใจกลางเมือง มีความร่มรื่น สงบสุข สวยงามทางธรรมชาติอย่างครบถ้วน และที่สำคัญคือมีฌาปนสถานที่แทบจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ท่านเจ้าอาวาสซึ่งอยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งสำนักสงฆ์ ขึ้นทะเบียนวัดและดำเนินกิจกรรมต่างๆกับคนขอนแก่นมาทั้งชีวิต การออกมายืนหยัดปกป้องรักษาวัดแห่งนี้ให้อยู่กับชุมชนท่านไม่ได้ทำเพื่อตนเองและทำเพื่อส่วนร่วม และทำอย่างถูกต้อง วันนี้ชุมขนเข้าใจและจะแสดงพลังรักษาวัดแห่งนี้ให้อยู่คู่กับเมืองขอนแก่นตลอดไป แม้กระบวนการทางกฎหมายจะต่อสู้กันอีก 2 ศาลก็ตาม”
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.